รองโฆษกเพื่อไทย ชี้ “ประยุทธ์” ลั่นไม่ยอมแพ้ หวังกอดอำนาจต่อ แต่ปชช.สุดเอือมแล้ว

“เพื่อไทย” ชี้ “ประยุทธ์” เปิดเพลงอย่ายอมแพ้ หวังกอดอำนาจ ทั้งท่ีประชาชนเอือมระอา ประสบทุกปัญหา ยอดหนี้เงินกู้ 7 ปี ทะลุ 10 ล้านล้านบาท

วันที่ 23 มกราคม 2565 นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลที่เกิดการต่อรองแย่งชิงอำนาจในขณะนี้ ชี้ให้เห็นว่าอำนาจของฝ่ายบริหารกำลังสั่นคลอนอย่างหนักจากความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาลเอง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ทำให้ได้รัฐบาลที่อ่อนแอที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี อย่างรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปัญหาที่เป็นผลพวงจากความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ ได้ลามมาถึงฝ่ายรัฐสภา

ที่เมื่อเกิดการต่อรองไม่เป็นดังหวังจึงทำให้เกิดสภาล่มบ่อยครั้ง ทั้งที่ปัจจุบันมีสารพัดปัญหาทั้งโรคระบาด ทั้งคนตกงาน หนี้ครัวเรือนสูง ความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุกจนกระจาย ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขผ่านกระบวนการสภา แต่พลเอกประยุทธ์ทำได้เพียงแค่ร้องเพลง “อย่ายอมแพ้” สร้างความเอือมระอาให้กับประชาชนที่ไม่อาจรับได้ที่เห็นผู้นำยังมีอารมณ์ร้องเพลง แต่ละเลยปัญหา ไม่แยแสความอยู่รอดของประชาชน ปล่อยให้ประเทศเป็นไปตามยถากรรมแบบนี้

นางสาวชญาภา กล่าวต่ออีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี อย่างปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนคนไทยอย่างมาก ที่ผ่านมารัฐบาลยกให้การแก้ปัญหาฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติเมื่อ ก.พ.2562 แต่จวบจนทุกวันนี้ผ่านไปเกือบ 3 ปี ก็ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาใดๆอย่างเป็นรูปธรรมนอกจากการรายงานค่าฝุ่นรายวัน ปล่อยให้ประชาชนเผชิญชะตากรรมกันเอง

ตอกย้ำชัดเจนว่ารัฐบาลละเลยการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศมาโดยตลอด แทบทุกเรื่องที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ กลับกลายเป็นวาระแห่งความล้มเหลวซ้ำซาก นอกจากปัญหาดังกล่าว รัฐบาลยังเดินหน้ากู้เงินซ้ำซาก เป็นนายกรัฐมนตรีมา 7 ปีกว่า กู้เงินมาแล้ว กว่า 10 ล้านล้านบาท ซ้ำยังไม่มีความสามารถในการลงทุนให้เกิดดอกผลและใช้หนี้ได้

“รัฐบาลไม่มีสภาพในการบริหารประเทศ บริหารแบบไม่บริหารเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องจัดสรรผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวของพวกพ้อง จนรัฐสภาไม่ใช่ที่พึ่งที่หวังในการแก้ปัญหาให้ประชาชน แต่ใช้เพื่อการต่อรองผลประโยชน์และความอยู่รอดของรัฐบาลเอง แทนที่พลเอกประยุทธ์เปิดเพลง ขออย่ายอมเเพ้ ท่านควร ยอมถอยออกจากตำแหน่ง และเปิดทางให้ประชาชนได้เลือกผู้นำที่มีความสามารถ มีวุฒิภาวะและความเป็นผู้นำมากกว่านี้” นางสาวชญาภากล่าว