#แพงทั้งแผ่นดิน : ‘พรรคกล้า’ ติงทุ่มงบ1.4 พันล้าน แก้ปลายเหตุ ‘อ๋อม’ ฟาดรบ.เลิกโทษประชาชน

อ๋อม สกาวใจ ลั่นอย่าเบี่ยงประเด็น คนขึ้นราคาสินค้ากลายเป็นเห็นแก่ตัว แนะเลิกโทษประชาชน รัฐบาลต้องแก้ปัญหา ไม่ใช่หาแพะ ‘กรณ์’ ห่วง ครม.อนุมัติงบ 1,480 ล้าน ขายของลดราคา เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ลดการกักตุนก่อนถึงตรุษจีน “พิธา” จี้รัฐบาลเร่งแก้ อย่าทำเหมือนไม่มีวิกฤตเกิดขึ้น

วันที่ 19 ม.ค.2565 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาของแพงว่า การที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติงบ 1,480 ล้านบาท ขายสินค้าราคาถูก อาจได้ประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่ประชาชนยังขาดความมั่นใจว่า จะควบคุมราคาสินค้าได้หรือไม่ เพราะมาตรการที่ออกมา เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ซึ่งจะเป็นอันตรายมากในทางจิตวิทยา เพราะเมื่อคนเชื่อว่าราคาสินค้าจะขึ้น มันก็จะขึ้นเอง เมื่อราคาขึ้นไปแล้ว ปรับลดลงมายาก จึงต้องแก้ที่ต้นเหตุ แล้วต้องแก้ให้ชัดเจน

นายกรณ์ กล่าวว่า เมื่อผู้ผลิตคาดว่าอนาคตจะมีราคาปรับขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เลยไม่ปล่อยหมูออกสู่ตลาด ยิ่งเป็นปัจจัยทำให้ราคายิ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ต้องมีมาตรการทำให้การคาดการณ์ว่าราคาจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ หยุดโดยเร็ว ไม่งั้น เดี๋ยวมีปัญหาเงินเฟ้อจริง จึงต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด วิเคราะห์ให้ออกว่า ปัญหาราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นเพราะอะไร

หากคิดว่าเป็นเรื่องสภาวะเงินเฟ้อทั่วไป ก็อาจนำไปสู่มาตรการทางการเงิน ปรับอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ อันนั้นยิ่งจะเป็นการซ้ำเติมประชาชน ฉะนั้น เมื่อไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสภาวะเงินเฟ้อ แต่เกิดขึ้นเพราะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ก็ต้องวิเคราะห์ที่มาของปัญหาให้ออกก่อน แล้วจะนำมาซึ่งมาตรการที่ถูกต้อง มาตรการที่ประกาศออกมาอย่างน้อยเท่าที่เราเห็น ล้วนเป็นมาตรการปลายเหตุ

ด้านนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า และผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 9 จตุจักร-หลักสี่ กล่าวว่า มติ ครม.ที่ออกมา เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุล้วนๆ ขอย้ำว่าถ้าปล่อยของแพงในขณะนี้ โดยมีราคาหมูเป็นตัวชี้นำ จะเกิดเงินเฟ้อของจริง จึงต้องแก้ไขที่ต้นขั้ว ต้องส่งสัญญาณทุบราคาหมูลงมา โดยนำเข้าหมู ซึ่งจะช่วยลดการกักตุนได้ เพราะขณะนี้พบปัญหาว่ามีหมูในฟาร์มเกิดการชะลอไว้ เพราะช่วงตรุษจีนราคาจะขึ้นไปอีก

ด้าน อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นักแสดงชื่อดัง ได้ออกมาแสดงความเห็นถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมฟาดแบบจุกๆ ผ่านภาพข้อความทางไอจีส่วนตัวว่า “คนขึ้นราคาสินค้า กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ทั้งที่ต้นทุนมันขึ้น มัน #ตลกร้าย #ตรงที่แม้กระทั่งวันนี้คุณก็ยังโทษประชาชนอีก ทั้งที่มันเป็นปัญหาที่คุณต้องแก้ไม่ใช่หาแพะ! มาเบี่ยงประเด็น…คนละยำ!!!

ข้อท้วงติงนี้ เกิดขึ้นเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาราคาสินค้าที่พุ่งสูง โดยพ่อค้าแม่ค้ามีการอ้างว่าจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า เพราะหลายๆอย่างก็ขึ้นราคาทั้งหมดสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันด้วย และยังกล่าวว่า

ถ้าจะขึ้นราคาแล้วมีเหตุผลสมควร ก็คงไม่มีอะไร แต่ขอร้องว่า อย่าทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากก็แล้วกัน ต้องไปคำนวณที่ต้นทุน ไม่ใช่ราคาน้ำมันขึ้น 1 บาทหรืออะไรขึ้นแค่บาทเดียว แล้วไปขึ้นราคาสินค้าอื่น 5 บาท เอาเหตุผลอะไรมาขึ้นตั้ง 5 บาท ตนไม่เข้าใจ ขออย่าเห็นแก่ตัวกันในเวลานี้

นอกจากนี้ ดาราสาว ยังแปะแคปชั่นไว้อักว่า “พ่อยอดมนุษย์ถูกทุกเรื่อง “คนละยำ” เผ็ดๆ ฟังแค่เสียง…จบ!” ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามากดไลก์และแสดงความเห็นด้วยกันอย่างมากมาย

ทำเหมือนไม่มีวิกฤตเกิดขึ้น!

ขณะที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ก่อนอื่น ตนขอเเสดงความยินดีกับ นพ.ชลน่าน ศรีเเก้ว ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ และสำหรับการอภิปรายแบบไม่ลงมติต่อรัฐบาลในมาตรา 152 เป็นการตั้งคำถามไปยังรัฐบาลและเสนอเเนะให้รัฐบาลเปลี่ยนการทำงานจากเชิงรับเป็นเชิงรุกให้ได้ในช่วงที่เป็นรอยต่อของเศรษฐกิจแบบนี้ จากการที่มีปัญหาโควิด เเละก็เศรษฐกิจปิด -เปิด – ปิด ทำให้เกิด Supply shock เกิดการชะงักตัวทางเศรษฐกิจ ถ้าหากรัฐบาลไม่เปลี่ยนวิธีคิด การแก้ไขปัญหาจะทำได้ยาก ในภาวะวิกฤติของเเพงค่าเเรงต่ำ โดยค่าแรง 5 ปีที่ผ่านมาจาก 308 บาท เพิ่มมาเป็น 330 บาท ขึ้นมาแค่ 20 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี แต่ราคาหมูจาก 160 บาท เพิ่มเป็น 220 บาท เเค่ภายในไม่กี่วัน

พิธา กล่าวต่อไป ในขณะที่ประชาชนกำลังลำบากกับของเเพงทั้งแผ่นดิน เเต่เงินเฟ้อ 1% กว่ามันสะท้อนการบริหารงานของรัฐบาลที่ย่ำเเย่ มันไม่ไม่สามารถไปข้างหน้าได้ เพราะการบริหารเเบบเช้าชามเย็นชาม มันไม่ได้ส่งสัญาณหรือเตรียมพร้อมว่าวิกฤติกำลังจะมา ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนขณะนี้เราต้องทำการดับปัญหา เพื่อให้ประเทศไปข้างหน้าให้ได้ ถึงเวลาเราต้องทำการรื้อตะกร้าเงินเฟ้อ คำนวนราคาสินค้าให้สอดคล้องกับความเป็นจริง

ยกตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี รัฐบาลเขาตื่นตัว สื่อมวลชนเขาตื่นตัว ส.ส.ก็ตื่นตัว ว่าแก้ไขปัญหาอย่างไร แต่ผิดกับประเทศไทยของเราที่ทำเหมือนไม่มีวิกฤติเกิดขึ้น ดังนั้น การรื้อตะกร้าเงินเฟ้อคำนวนราคาสินค้าจึงมีความจำเป็น ยกตัวอย่าง เกาหลีใต้นำเข้าอุปทานอาหาร เพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ 200,000 ตัน ก่อนช่วงตรุษจีนที่จะมาถึง และกรณีสิงคโปร์ เเถลงความร่วมมือกับ 6 ประเทศ ในเรื่องความมั่นคงทางอาหารการนำเข้าซึ่งกันเเละกัน ทำให้การนำเข้าแบบฉุกเฉิน ( Emergency Import ) ที่สามารถวางเเผนคิดล่วงหน้า จึงแก้ปัญหาได้ง่าย

แต่ถ้าหากปล่อยให้หมูหายไปในอุตสาหกรรมกว่า 40% จะเเก้ได้ยากมาก ผมคิดว่ารัฐบาลต้องคำนึงถึงปัญหาทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านเงินเฟ้อที่มีความสำคัญต่อการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยผมจะใช้โอกาสนี้ในการตั้งคำถามในการบริหารประเทศในยุคศตวรรษที่ 21 ยุคที่มีความปั่นป่วนเเละรอยต่อของเศษฐกิจในขณะนี้” พิธา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเเถลงข่าวของพรรคร่วมฝ่ายค้านในวันนี้ เป็นการสรุปประเด็นสำคัญหลังจากการประชุม โดยพรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติเตรียมยื่นญัติทั่วไป เปิดอภิปรายแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 ที่จะสอบถามข้อเท็จจริงกับทางรัฐบาล เเละคณะรัฐมนตรี โดยสรุปประเด็นสำคัญ ดังนี้

ประเด็นแรก การยื่นญัตตินี้ จะเป็นการเสนอชื่อร่วมกัน เป็นญัตติเดียวในนามพรรคร่วมฝ่ายค้าน

ประเด็นที่สอง เนื้อหาสาระที่จะเสนอเเนะ ที่ประชุมมีความเห็นตรงกัน ในประเด็นเรื่อง 1.เศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน ในภาวะสินค้าเเพงทั้งแผ่นดิน 2.ในเรื่องการเเพร่ระบาดของโควิดที่ระบาดในคนเเละโรคระบาด ASF ในสุกร 3.ภาวะวิกฤติด้านการเมือง กระจายอำนาจไม่เป็นธรรม 4.ประเด็นอื่นๆที่เกี่ยวเนื่อง ที่เป็นปัญหาที่กระทบชีวิตประชาชน อาทิ ด้านสิ่งเเวดล้อม , คอร์รัปชั่น, เหมืองทองอัครา, ปัญหาพี่น้องชาวประมง ซึ่งประเด็นรายละเอียดจะให้สิทธิพรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอเป็นรายประเด็นไป

ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้าน พร้อมยื่นญัตติในวันศุกร์ ที่ 21 มกราคม นี้ ให้กับฝ่ายกฎหมายของสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในส่วนของการอภิปราย สภาใช้เวลาตรวจสอบญัติ 7 วัน เเละจะบรรจุเข้าสู่วาระประชุมต่อไป ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านเองต้องการอภิปรายกลางเดือนกุมภาพันธ์ เเละกรอบเวลาจะเสนอหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลว่าไม่น้อยกว่า 36 ชั่วโมง

ขอบคุณภาพ IG : oomsakaojai