“ไทยสร้างไทย” สอนรัฐ ต้องจัดหาวัคซีน mRNA ให้เพียงพอ เร่งฉีดให้มาก พร้อมแจกชุดตรวจ ATK ฟรี-ทั่วถึง เตรียมพร้อมระบบสาธารณสุข เตียงมีพอ 

“ไทยสร้างไทย” สอนรัฐ ต้องทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย จัดหาวัคซีน mRNA ให้เพียงพอ เร่งฉีดให้มาก พร้อมแจกชุดตรวจ ATK ฟรี และทั่วถึง ขณะเดียวกันต้องเตรียม ระบบสาธารณสุขให้พร้อม เตียงมีเพียงพอ รองรับผู้ป่วยทุกกลุ่มอาการอย่างเหมาะสม 

นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ผู้อำนวยการกองการสื่อสาร พรรคไทยสร้างไทย แถลงย้ำว่า หน้าที่ของรัฐบาลที่ดี ต้องทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องปิดประเทศ ไม่ต้องล๊อคดาวน์ ไม่ต้องปิดร้านค้าต่างๆ และต้องทำให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติสุข ทำมาหากินได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเดินต่อได้ โดยเฉพาะต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับคืนมาได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรงที่สุด”

เราต้องยอมรับความจริงว่าโรคโควิด-19 จะต้องอยู่กับเราไปอีกนาน ซึ่งรัฐบาลทั่วโลกที่มีการบริหารจัดการการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดี ต้องทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกับโรคนี้อย่างปลอดภัย (Living with COVID-19) ซึ่งประชาชนสามารถทำมาหากินและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ให้ไม่มีผู้ติดเชื้อ หรือผู้ติดเชื้อลดลงจนเหลือ 0 ด้วย Zero-Case Strategy นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมาก

ดังนั้น สิ่งที่รัฐต้องทำ เพื่อที่จะทำให้คนไทยอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย คือการจัดหาวัคซีน ที่มีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านเชื้อกลายพันธุ์ โดยเฉพาะ Variant ที่มาใหม่อย่าง “โอไมครอน” ซึ่งจากงานวิจัยศึกษาต่างๆ พบว่าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงและดีที่สุดในการต่อต้านเชื้อกลายพันธุ์ คือ “วัคซีน mRNA”

จากผู้ฉีดวัคซีนเข็ม 1 ทั้งหมด 51.5 ล้านรายนั้นมีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน mRNA เพียงแค่ 7.72 ล้านรายหรือคิดเป็นเพียง 15% ส่วนจำนวนผู้ฉีดวัคซีนเข็ม 2 ที่ฉีดวัคซีน mRNA มีจำนวน 8.19 ล้านราย จากผู้ฉีดวัคซีนเข็ม 2 ทั้งหมด 46.8 ล้านรายหรือคิดเป็น 17.5% และผู้ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ที่ฉีดวัคซีน mRNA แค่ 3.85 ล้านราย จากผู้ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ทั้งหมด 8.1 ล้านราย สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ ประเทศไทยยังมีผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนเข็มแรกอีกประมาณ 14.6 ล้านคน ในจำนวนนี้รวมถึงเด็กอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการป่วยหนักได้ และผู้ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ยังไม่ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ ทำให้ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างโอไมครอนได้ ดังนั้น รัฐจะต้องเร่งให้มีการฉีดวัคซีน mRNA ให้มากและเร็วที่สุด

ประการต่อมา การเข้าถึงการตรวจโรคโควิด-19 ทั้งแบบ ATK และ RT-PCR ต้องเข้าถึงโดยง่าย

และรัฐต้องแจก ATK ที่มีคุณภาพตรวจ Omicron ได้ ฟรีให้ประชาชนอย่างต่ำ จำนวน 50 ล้านชิ้น ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนได้ตรวจอย่างน้อยสัปดาห์ละสามครั้ง ซึ่งใช้งบประมาณไม่มากเลยแค่ 1,500 ล้านบาท โดยไม่จำกัดว่าผู้ที่รับ ATK รัฐบาลควรเปิดจุดตรวจ RT-PCR ฟรี อย่างน้อย ตำบลละ 1 แห่ง ส่วนในกรุงเทพมหานคร อย่างน้อย เขตละ 5 แห่ง

โดยเห็นว่ามีความคุ้มค่ากว่าการปล่อยระบาดในวงกว้างจนเกินการควบคุม ในท้ายที่สุดจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างน้อยเดือนละ 2 ถึง 3 แสนล้านบาท หากเกิดการล๊อคดาวน์อีก

ประการสุดท้าย รัฐบาลต้องเตรียมการระบบสาธารณสุขให้พร้อมที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าประเทศไทยสามารถรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ และเตรียม สายด่วน สปสช. 1330 ให้รองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ในการทำ Home Isolation และรับยารักษาโรคโควิด-19 ไม่ใช่ปล่อยให้มีปัญหาอย่างปัจจุบันนี้ รวมทั้งการเตรียมพร้อมในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและสีแดง ทั้งการจัดหาเตียง เตรียมสต๊อคยารักษาโควิดให้เพียงพอ รวมถึงยาชนิดใหม่อย่าง แพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) ที่ป้องกันอาการป่วยหนักและเสียชีวิต ให้มีการใช้เร็วที่สุด เพื่อการรักษาที่มีคุณภาพ รักษาชีวิต และประคับประคองเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็วที่สุด