ปลอดประสพ ชี้ รัฐแก้โรคระบาดหมูสายไปมาก! รายเล็ก-กลางตาย เศรษฐีฟาร์มใหญ่นอนเกาพุง

ปลอดประสพ ชี้ รัฐแก้โรคระบาดหมูสายไปมาก รายเล็ก-กลาง ตาย มหาเศรษฐีฟาร์มใหญ่ เกาพุงสบาย

เมื่อวันที่ 15 มกราคม นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี เขียนข้อความแสดงความเห็นกรณีปัญหาหมูแพง และโรคระบาดในหมู ระบุว่า

เรื่องหมู ซึ่งจะกลายเป็นแพะ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีกรมคู่แฝดคือ กรมประมงและกรมปศุสัตว์ คือ มีหน้าที่ดูแลสัตว์น้ำกรมหนึ่ง สัตว์บกกรมหนึ่ง มีขนาดกำลังคนและงบประมาณใกล้เคียงกัน มีโครงสร้างองค์กรเกือบเหมือนกัน แม้แต่การเรียนก็คล้ายกัน สมัยผม (58 ปีมาแล้ว) ที่เกษตรฯ ประมงและสัตวแพทย์เรียนปี 1-2 ร่วมกัน ปี 3-6 สัตวแพทย์ย้ายไปปทุมวันและรับปริญญาของจุฬาฯ ส่วนประมงปี 3-5 ยังคงอยู่ที่บางเขน เมื่อผมครบการเป็นอธิบดีกรมประมง 4 ปีรอบแรกเกือบจะต้องมีการย้ายสลับระหว่างอธิบดีกรมประมงกับอธิบดีกรมปศุสัตว์

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็มีโรคเหมือนสัตว์บก สมัยผมเท่าที่จำได้ มีโรคกุ้งระบาดอยู่หลายครั้ง (กุ้งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาท เท่ากับหมู) เป็น virus ทั้งDNAและRNA เสียส่วนใหญ่ มีประเภท Bacteria เพียงโรคเดียว ที่ร้ายและเสียหายมากที่สุดคือโรค White Spot ในปี 2536 ซึ่งกรมประมงก็ได้ประกาศต่อสาธารณชนทันที รวมถึงแจ้งต่อ OIE (World Organization for Animal Health) ตามพันธสัญญา เช่นเดียวกับกรมปศุสัตว์ในยุคนั้นมีการปฏิบัติในมาตรฐานเหมือนกรมประมงเมื่อมีโรคระบาดทุกประการ ผมจึงรู้สึกสนเท่ห์ใจเป็นอย่างมากว่า เกิดอะไรขึ้นตอนนี้ โดยเฉพาะกรณีหมูซึ่งดูเหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนไป

ผมถามเพื่อนรุ่นๆ ผมและรุ่นหลานในกรมปศุสัตว์ ทุกคนพูดเหมือนกันว่า มันคือ โรคอหิวาต์หมู ASF หรือ African Swine Fever ระบาดมา 4-5 ปี รอบๆ บ้านเราเป็นกันหมดและก็เข้ามาในเมืองไทย 2 ปีกว่าแล้ว แต่ (ก็แปลก) มีความพยายามจะพูดว่า เป็นแค่โรคทางเดินหายใจหรือ MERSเท่านั้น แม้แต่ FAO ก็พยายามคาดคั้นประเทศไทยมาตลอด 2 ปีจนนับ email ไม่ถ้วน แต่ดูเหมือนเราก็จะทำหูทวนลมเสีย (หูหนวกชั่วคราว) รัฐบาลเองก็ดูเหมือนจะรู้ จึงจัดงบประมาณให้ไปสู้กับโรคถึง 5 รอบ เป็นเงินมากกว่า 1,500 ล้านบาท จนสุดท้ายบรรดาคณบดีคณะสัตวแพทย์ทั้ง 14 แห่งเขาทนไม่ไหว จึงทำหนังสือเตือนมา เพราะตามกฎหมายเป็นหน้าที่ที่เขาต้องบอก แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดจนได้ในเมืองไทย (Thailand Only) หนังสือหายครับ! Biotecของ สวทช.ก็ออกมาสำทับซ้ำอีกว่า โรคหมูในเมืองไทยเป็นชนิด ASF แน่นอน

ในที่สุดแม้หาหนังสือไม่เจอ แต่ก็เจอโรคที่นครปฐม (จุดกำเนิดสุวรรณภูมิ/ประเทศไทย) เข้าจนได้ มันสายไปมากแล้วครับ หมูตายไปเกือบ 10 ล้านตัว ผู้เลี้ยงขนาดกลางขนาดเล็กจึงตายตาม (โรคสตางค์หมด) แต่มหาเศรษฐีฟาร์มใหญ่ซึ่งมีความสามารถนำระบบ GAP มาใช้ได้จึงยังสามารถนั่งเกาพุงสบายใจ แถมตรุษจีนนี้ยังจะแจกอั่งเปาแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่งกันแบบไม่อั้นเลย (สาธุ) แต่หมูราคาแพงลิ่ว ผู้คนเขาด่ากันเซ็งแซ่

ผมขอเรียนท่านรัฐมนตรีเฉลิมชัย รัฐมนตรีช่วยประภัตรเพื่อนรักและอธิบดี ปศ.ว่า ผู้คน สื่อและนักวิชาการ เขาไม่เชื่อพวกท่านหรอกว่า โรค ASF เพิ่งเกิดในเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว (ถ้าบอกว่า 2 ปีที่แล้วอาจจะเชื่อ) สำหรับอธิบดีนั้นทั้งน่าสงสารและน่าตีก้นนัก ทำไมท่านไม่ดูว่า รุ่นอาวุโสที่ผ่านมาเขาเคยทำกันมาอย่างไร อะไรทำให้พวกท่านอ้ำอึ้ง/เชื่องช้าแบบนี้ ที่เขาลือๆ กันน่ะ มันไม่เป็นมงคลเลยนะ

การฟื้นฟูสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ต้องใช้เวลามาก เรื่องหมูผมคิดว่า ต้องไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี เพราะขณะนี้ ไม่มีพ่อแม่พันธุ์เหลือแล้ว อยากแนะนำคณะเพื่อไทย (ไม่รู้เขาจะเชื่อหรือเปล่า) ประกาศเป็นนโยบายไปเลย จะหาลูกหมูพันธ์ุชั้นดีแจกเกษตรกร 5 คู่ และให้เงินสนับสนุนฟาร์มขนาดเล็กให้มีเครื่องไม้เครื่องมือที่จะสามารถปฎิบัติตามระบบ GAPให้ได้ (land slide แน่นอน) ไอ้เดินสายขายของถูกน่ะขอทีเถอะ มันไม่ยั่งยืน เสียชื่อหัวหน้าพรรคเก่าแก่เปล่าๆ ด้านท่านผู้นำก็อย่าเพิ่งไอเดียกระฉูด แนะนำให้เลี้ยงอะไรแทนนะครับ และผู้คนเขาถามว่า งานเยอะมาก หรือถึงเพิ่งเรียกอธิบดีมารายงาน ส่วนท่านอธิบดีก็ขอให้ระวัง อาจเกิดโรคแปลงพันธุ์@หมูกลายเป็นแพะได้นะครับ