เลือกตั้งซ่อม : ปชป.เดือด พวกโวชาติตระกูล หาเสียงแบ่งชนชั้น ‘อรรถวิชช์’ ชี้สนามหลักสี่ ซื้อเสียงดุ

‘อรรถวิชช์’ ชี้สนามเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักร ซื้อเสียงหนัก มั่นใจคนกรุงกล้าเปลี่ยน ‘ราเมศ’ อัดพวกยกชาติตระกูล หาเสียงแบ่งชนชั้น ‘สรัลรัศมิ์’ ฟ้องกกต.-ศาลฟันคู่แข่ง จงใจใส่ร้าย-ด้อยค่าคนอื่น

วันที่ 13 มกราคม 2565 เมื่อเวลา 07.00 น.  นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักร พรรคกล้า ลงพื้นที่หาเสียงในตลาดและชุมชนย่านชินเขต เขตหลักสี่ เดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าและพี่น้องประชาชนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอย พร้อมปราศรัยให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจ เกี่ยวกับแนวทางการเสียภาษีที่ถูกต้อง ซึ่งโครงการคนละครึ่งเป็นโครงการที่ดีมากๆ ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล แต่พ่อค้าแม่ค้าที่ขายได้มากขึ้น ก็ต้องเสียภาษีเยอะขึ้น ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าต้องทำบิลให้ถูกต้อง เพื่อหักลดหย่อนภาษี เพื่ออุดช่องว่าง ซึ่งเป็นโครงการที่ดีอยู่แล้ว

นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์โควิดระบาด กังวลเรื่องเดียวคือคนอาจไม่ออกมาใช้สิทธิ ส่วนกระแสข่าวการซื้อสิทธิขายเสียงในพื้นที่นั้นตลอดเวลา 17 ปี ของการทำงานการเมือง ไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องการซื้อเสียงที่หนักเท่าครั้งนี้ จำนวนเม็ดเงินที่สูงและทั่วถึง แต่มั่นใจคนกรุงเทพฯว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็แล้วแต่ คนกรุงเทพฯมีวิจารณญาณ และต้องดูว่า วันที่ 30 มกราคมนี้ มีคนออกมาใช้สิทธิมากหรือน้อย ถ้าออกมาใช้สิทธิเกินกว่าร้อยละ 70 เชื่อว่าการซื้อเสียงเอาไม่อยู่

นายอรรถวิชช์กล่าวต่อว่า พรรกล้าจะปราศรัยใหญ่ในวันที่ 28 มกราคมนี้ โดยจะเน้นย้ำความเป็นพรรคที่เดินหน้าการเมืองสร้างสรรค์ การเมืองคุณภาพ และเป็นพรรคที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และเราจะไม่เดินหน้าไปสู่การเมืองที่แบ่งแยกอีกแล้ว จึงขอให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิกันให้มากในวันที่ 30 มกราคมนี้ เพราะมั่นใจว่า คนกรุงเทพฯกล้าเปลี่ยน ให้การเมืองสร้างสรรค์ การเมืองคุณภาพ เกิดขึ้นได้

ยกชาติตระกูล-เงินข่ม ดูถูกประชาชน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประสานงานส่วนกลาง กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมในเขต เลือกตั้งที่ 1 จ.ชุมพร และเขตเลือกตั้งที่ 6 จ.สงขลา ว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมในทั้งสองเขต ในพื้นที่ผู้สมัครจะเน้นการเดินพบปะประชาชนควบคู่ไปกับการจัดเวทีปราศรัย ซึ่งจะมีการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ในวันที่ 14 มกราคม พร้อมกันทั้งสองเขต โดยจะมีแกนนำพรรคไปร่วมปราศรัย เช่นเวทีที่จ.ชุมพร จะมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคฯ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรัฐมนตรี ร่วมขึ้นเวทีปราศรัย

นายราเมศ กล่าวต่อว่า พรรคการเมืองบางพรรคยังใช้อำนาจในการแทรกแซงเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ เพื่อบังคับข่มขู่ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และครอบครัวให้มีการเลือกผู้สมัครของพรรคตนในทั้งสองเขต ซึ่งเรากำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด ส่วนกรณีที่มี ส.ส.ของพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคขึ้นปราศรัยที่ จ.สงขลา แล้วมีการปราศรัยในลักษณะสัญญาว่าจะให้ชัดเจน ซึ่งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 73 ที่ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใด จูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนน ด้วยวิธีการสัญญาว่าจะให้ เพราะมีการพูดชัดว่า หากเลือกผู้สมัครในวันข้างหน้าจะมีการดูแลประชาชนในเรื่องเงินทองเพราะมีเงิน

“เรื่องนี้ คณะกรรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สามารถสอบสวนได้ทันทีเพราะมีข่าวปรากฏอยู่ทั่วไป และวินิจฉัยไม่ยากเพราะผิดกฎหมายชัดเจน หากไม่ผิดนั่นแสดงว่าต่อไปก็สามารถพูดจาในลักษณะว่าจะให้เงินในวันข้างหน้าได้เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิ์ ดังนั้น ต้องฝากความหวัง ไว้กับ กกต.เพราะการได้มาซึ่งประชาธิปไตยสุจริตทุกคนต้องช่วยกัน” นายราเมศ กล่าว

นายราเมศ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีคนปราศรัยว่าให้เลือกชาติตระกูลดีและมีเงิน ต้องยอมรับว่าประชาชนในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 6 จ.สงขลา มีความรู้สึกกับเรื่องนี้มาก การใช้เรื่องชาติตระกูลและความร่ำรวยมาพูดเสมือนเป็นการดูถูกประชาชน แบ่งชนชั้น นี่คือความปวดใจของประชาชน ถ้าเป็นแบบนั้น เชื่อว่าลูกชาวบ้านอย่างนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีทางได้เป็น ส.ส.ไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนรวยที่บอกว่าเข้ามาจะไม่โกง มีมากมายที่เข้ามาแล้วโกง สุดท้ายแม้แผ่นดินก็ไม่มีอยู่ ซึ่งพรรคฯมีความมั่นใจในเขตที่ 6 จ.สงขลา และเขต 1 จ.ชุมพร ช่วงสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงบุคลากรของพรรคลุยเต็มที่จนถึงเวลา 18.00 น ของ วันที่ 15 มกราคม

เมียสิระฟ้องแหลก คู่แข่งจงใจใส่ร้าย-ด้อยค่า

ขณะที่ เมื่อเวลา 10.30 น.นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 9 กทม. พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) มอบนายสิระ ขาวนุ่น ผู้ช่วย เข้ายื่นร้องเรียนต่อ กกต. ให้ตรวจสอบกรณี นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า และผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. พรรคกล้า ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย ระบุ พปชร.น่าจะส่งคนที่มีคุณภาพมากกว่านี้มาลงสมัคร ว่าเข้าข่ายการหาเสียงด้วยลักษณะโจมตี ใส่ร้าย ป้ายสี ถือว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งกรณีหาเสียงเลือกตั้ง ว่าด้วยการหลอกลวงใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ตามมาตรา 73 (5) พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.หรือไม่

นางสรัลรัศมิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า การลงเล่นการเมืองของตนครั้งนี้ ตั้งใจดูแลประชาชนชาวหลักสี่-จตุจักร ต่อจากนายสิระ เจนจาคะ ไม่เคยคิดเป็นศัตรู หรือใส่ร้ายป้ายสีใคร ไม่เคยพูดพาดพิงผู้สมัครพรรคอื่นแม้แต่ครั้งเดียว ในฐานะสุภาพสตรี ขอให้การแข่งขันครั้งนี้ แข่งกันด้วยความเป็นสุภาพบุรุษอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี และเสนอนโยบายของพรรคตัวเอง เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ โดยไม่จ้องโจมตีให้ร้ายกัน เพราะไม่เห็นถึงเหตุจำเป็นที่จะให้ร้ายใคร เพื่อทำลายคะแนนเสียงของฝั่งตรงข้าม สุดท้ายประชาชนจะตัดสินลงคะแนนจากสิ่งที่พวกเขาเห็นและสัมผัส ไม่ใช่วาจากล่าวร้าย

นางสรัลรัศมิ์ กล่าวว่า การพูดจาดูหมิ่นเกียรติของตนว่า พรรคน่าจะหาคนที่มีคุณภาพกว่านี้ นายอรรถวิชช์ เอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ตัดสินศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ว่า ใครเก่งหรือไม่เก่ง การพูดเช่นนี้เพราะต้องการทำลายภาพลักษณ์ และหวังว่าประชาชนจะไปเลือกตัวเองแทน

จึงขอใช้สิทธิ์ร้องเรียน เพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง ทั้งนี้ ตนให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิดทางอาญาด้วยหรือไม่ และดำเนินคดีเอาผิดนายอรรถวิชช์ ที่สน.ทุ่งสองห้อง ต่อไป หากมีความผิดจริง นายอรรถวิชช์ ถือเป็นกรรมการบริหารพรรคกล้า อาจมีผลถึงขั้นยุบพรรคด้วย

“ดิฉันได้รับเสียงร้องเรียนจากชาวบ้านในชุมชนริมคลอง ที่ถูกนายอรรถวิชช์พาดพิงว่ามีการซื้อเสียง โดยไม่มีหลักฐาน ชาวบ้านในพื้นที่ เห็นว่าถูกนายอรรถวิชช์ดูถูกและกล่าวหาว่าพวกเขาขายสิทธิขายเสียงของตัวเอง จนมีการแสดงความคิดเห็นในโซเชี่ยลมากมายว่าอยากเป็นคนหลักสี่ได้เงินหัวละตั้ง 3,000 บาท ข้อความเหล่านี้ถือว่าดูถูกความคิดของชาวหลักสี่-จตุจักรอย่างมาก” นางสรัลรัศมิ์ กล่าว