‘ปริญญ์’ จี้คลังยกเลิกเก็บภาษีคริปโทฯ แต่เปิดช่องกระตุ้นบรรยากาศลงทุน

‘ปริญญ์’ จี้คลังยกเลิกเก็บภาษีคริปโทฯ ควรคิดลดหย่อนภาษีให้อุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ กระตุ้นการลงทุน

วันที่ 8 มกราคม นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวเสนอแนะภาครัฐถึงกรณีกฎหมายการจัดเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซีว่า เป็นประเด็นที่ร้อนแรงในช่วงหลายวันที่ผ่านมาทั้งในแง่ของความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และเจตนาของภาครัฐว่าต้องการส่งเสริมหรือสกัดกั้นสตาร์ตอัพและเอสเอ็มอีไทยกันแน่

ข้อเสนอแนะแก่ภาครัฐที่พูดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างเรื่องเว้นการจัดเก็บภาษีคริปโทฯ วันนี้มันเริ่มร้อนแรงขึ้นแม้มันไม่ง่ายที่จะแก้ แต่ถ้าจะแก้มันก็ต้องแก้ อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทำได้ ตนก็ได้พูดคุยเรื่องนี้กับอธิบดีกรมสรรพากรท่านก็ยินดีที่จะรับเรื่องไปพิจารณา คงจะเป็นการประชุมในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ อธิบดีฯเข้าใจถึงปัญหาการจัดเก็บและจะพยายามปรับแก้ให้มันเหมาะสมได้โดยการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล กฎหมายปัจจุบันกำหนดให้ผู้ลงทุนต้องนำกำไรส่วนต่างจากการถือครองหรือการโอน นำไปคิดเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) เพื่อนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และยังต้องมีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 15% ของกำไรที่ได้ กฎหมายนี้ออกมาตั้งแต่เดือน พ.ค.2561 แต่ในทางปฏิบัติยังทำได้ยาก โดยเฉพาะการคำนวณต้นทุนและการหัก ณ ที่จ่ายที่ไม่สามารถทำได้จริง

นายปริญญ์กล่าวต่อว่า จึงขอเสนอให้รัฐบาลยกเลิกการจัดเก็บภาษีคริปโทฯ พร้อมเหตุผล 3 ข้อ ที่ได้เดินหน้าผลักดันมาตลอดตั้งแต่ก่อนจะมี พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2561 และได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเงินทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ ยืนยันจะเดินหน้าเข้าพูดคุยกับกระทรวงการคลังเพื่อหาทางออกให้เร็วที่สุด โดยหากจะแก้ต้องแก้ที่การยกเว้นการจัดเก็บ ซึ่งการยกเว้นการเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น เป็นอำนาจรัฐมนตรีคลัง และรัฐมนตรีคลังก็นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่องนี้ต้องเร่งทำก่อนจะเกิดผลกระทบเสียหายมากไปกว่านี้

โดยเหตุผล 3 ข้อที่กล่าวไปข้างต้น ได้แก่ 1.การยกเลิกจัดเก็บภาษีคริปโทฯ จะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ลงทุนในตลาด การที่รัฐบาลเก็บภาษีมันไม่ใช่แค่การนำรายได้เข้าสู่ภาครัฐ แต่มันเป็นการจัดเก็บเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (ฟินเทค) ให้เกิดขึ้นได้ ดังนั้น การจะทำได้ก็ควรจะต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมเหมือนกันกับที่สนับสนุนตลาดหลักทรัพย์มาตลอดกว่า 40 ปี ในการที่ได้รับยกเว้นการจัดเก็บภาษี Capital Gains ดังนั้น

มันก็ควรจะเกิดความเสมอภาค ทั้งต่อนักลงทุนหรือผู้ประกอบการที่ระดมทุนฝั่งตลาดหุ้นและฝั่งของผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อยที่ระดมทุน หรือประกอบธุรกิจในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ฉะนั้น จะทําอย่างไรให้เกิดความเสมอภาคระหว่างคนตัวใหญ่ บริษัทใหญ่ๆ ที่เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นกับสตาร์ตอัพ หรือแม้กระทั่งคนที่เข้ามาลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี การจัดเก็บภาษีตัวนี้จะทำให้พวกเขาต้องเสีย 15% 25% หรือ 35% ด้วยซ้ำตามแต่ฐานเงินได้สุทธิหลังหักค่าลดหย่อน

“ทำไมมันเขย่งกันขนาดนั้น ทั้งที่รัฐบาลอ้างว่าอยากสนับสนุนเอสเอ็มอี สตาร์ตอัพให้เติบโตได้ แต่คุณมาลงโทษเขาผ่านภาษีเหล่านี้แทนที่จะคิดเก็บภาษีคริปโทฯ รัฐควรจะคิดลดหย่อนภาษีให้อุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ด้วยซํ้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและสร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับประเทศ” นายปริญญ์กล่าว

นายปริญญ์กล่าวต่อว่า 2.ป้องกันคนเก่งสมองไหลและช่วยสนับสนุน GDP ประเทศ นอกจากนี้ กฎหมายการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัลในทางปฏิบัตินั้นทำได้ยาก ทั้งรูปแบบการจัดเก็บ วิธีการคำนวณต้นทุนที่ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ลงทุนเกิดความกังวลและไม่กล้าที่จะลงทุน ประเทศไทยจะเสียโอกาสสร้างวัฏจักรอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ เพราะจะเกิดภาวะสมองไหลไปต่างประเทศได้ เช่น สตาร์ตอัพเก่งๆ แทนที่จะระดมทุนในไทย เขาก็แค่เอาบริษัทไประดมทุนในต่างประเทศที่กฎหมายเอื้อต่อการระดมทุนมากกว่า หรือในแง่ของผู้ลงทุน

แทนที่เขาจะอยากจ่ายภาษีเขาก็กลายเป็นเอาเงินไปลงทุนกับแพลตฟอร์มต่างชาติดีกว่า เช่น Binance หรือที่อื่นๆ ฉะนั้น จะทำอย่างไรให้คนไทยสนับสนุนแพลตฟอร์มของคนไทยเพื่อที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ได้ ทั้งนี้ วงการสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งที่จะเพิ่ม GDP ให้กับประเทศไทยได้อย่างจริงจัง รวมถึงการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตได้ด้วย เนื่องจากสตาร์ตอัพและเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกและเป็นธรรมได้จากเทคโนโลยีบล็อกเชน จะให้รายเล็กรายน้อยไปออกหุ้นกู้ หรือระดมทุนในตลาดหุ้น มันไม่ง่ายเลย นี่คือช่องทางเขา อย่าปิดช่องทางเขาด้วยภาษี หรือไล่บี้ด้วยกฎหมายที่พะรุงพะรังจนเกินควร และ 3.กฎหมายต้องมีไว้เพื่อการพัฒนา ไม่ใช่เพื่อควบคุมและลงโทษคนทำผิด

นายปริญญ์ยังกล่าวถึงกรณีสำนักงาน ก.ล.ต.กำลังจะเข้ามาควบคุมตลาด NFT ว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเนื่องจาก NFT ยังเป็นเรื่องที่ใหม่ สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือการให้ความรู้กับประชาชนมากกว่าที่จะมาออกกฎหมายกำกับในขณะที่ตลาดยังไม่เติบโต เพราะเท่ากับเป็นการปิดกั้นนวัตกรรม ซึ่งภาครัฐไม่ควรที่จะทำตัวเป็นคุณพ่อแสนรู้ มันไม่เหมาะสมที่จะทำตัวเป็นนักกฎหมายยุคเก่า คิดแต่จะออกกฎหมายมาควบคุม มากจนเกินควร คุณต้องเปิดให้นวัตกรรมมันเติบโตไปก่อน เพราะยังไงกฎหมายก็ไม่มีทางตามทันอยู่แล้ว

นายปริญญ์กล่าวต่อว่า ต้องปล่อยให้ตลาดเติบโตได้เต็มที่ก่อน ภาครัฐค่อยเข้ามาควบคุมในระดับที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่การตัดสินใจกระโดดเข้ามากำกับควบคุมอย่างฉับพลัน เพียงเพราะเห็นว่าเกิดกระแสความนิยมในเทคโนโลยีนั้นอย่างมาก ซึ่งการทำแบบนี้มีตัวอย่างให้เห็นแล้วในอดีตยุคของ ICO ปี 2561 ที่กำลังเติบโต เอกชนเริ่มจะสนใจระดมทุนด้วยแนวทางนี้ ขณะนั้นภาครัฐก็ได้เร่งออก พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ที่สุดแล้วตลาดการระดมทุนแบบ ICO ก็ชะงักลง สตาร์ตอัพหันไประดมทุนในต่างประเทศแทน