ซีดีซีสหรัฐชี้ วัคซีนไฟเซอร์ มีประสิทธิภาพถึง 91% ป้องกันกลุ่มอาการอักเสบในเด็ก

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(ซีดีซี)ของสหรัฐอเมริกา ระบุเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมาว่า วัคซีนโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์/ไบออนเทค จำนวน 2 โดส สามารถป้องกันได้สูงต่ออาการรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ยากแต่มักพบบ่อยในกลุ่มเด็กที่จะเกิดกลุ่มอาการอักเสบของอวัยวะในร่างกายภายในไม่กี่สัปดาห์หลังจากการติดเชื้อโควิด-19

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(ซีดีซี)ของสหรัฐอเมริกา ระบุเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมาว่า วัคซีนโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์/ไบออนเทค จำนวน 2 โดส สามารถป้องกันได้สูงต่ออาการรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ยากแต่มักพบบ่อยในกลุ่มเด็กที่จะเกิดกลุ่มอาการอักเสบของอวัยวะในร่างกายภายในไม่กี่สัปดาห์หลังจากการติดเชื้อโควิด-19

ผลการศึกษาชี้ว่าวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทค มีประสิทธิภาพในการป้องกันกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก (Multisystem Inflamatory Syndrome หรือ MIS-C) ในกลุ่มอายุระหว่าง 12-18 ปี ได้ถึง 91% โดยกลุ่มอาการ เอ็มไอเอส-ซี เป็นสาเหตุของการเกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเด็กที่รวมถึง หัวใจ ปอด ไต และ สมอง ใน 2-6 สัปดาห์ หลังจากการติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรงนัก

การศึกษาดังกล่าวประเมินจากข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วยโควิดในกลุ่มอายุ 12-18 ปี จำนวน 283 คน ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเด็กรวม 24 แห่ง ใน 20 รัฐของสหรัฐ ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ต้นธันวาคมปีที่ผ่านมาที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าอยู่สูงในช่วงเวลานั้น ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มเอ็มไอเอส-ซี จำนวน 38 ราย ที่ต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตขณะรักษาตัวอยู่นั้น ทั้งหมดเป็นผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด

รายงานระบุว่า ผลการศึกษาที่ได้ครั้งนี้เป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่บ่งชี้ว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีความเป็นไปได้ที่จะช่วยป้องกันการเกิดอาการแทรกซ้อนของโรคในกลุ่มเด็กได้ ที่รวมถึงกลุ่มอาการเอ็มไอเอส-ซี โดยก่อนหน้านี้ยังไม่รู้มาก่อนว่าวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทคสามารถป้องกันอาการดังกล่าวได้หรือไม่

อย่างไรก็ตามผลการศึกษานี้ยังมีข้อจำกัดหลายประการที่รวมถึงคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนในการต่อสู้กับสายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่เชื้อได้เร็ว

ทั้งนี้ในประเทศสหรัฐ กลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี เป็นกลุ่มมีความเสี่ยงสูงต่อกลุ่มอาการเอ็มไอเอส-ซี แต่คนกลุ่มอายุนี้เพิ่งจะถูกกำหนดให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทคได้เมื่อราวปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง แต่เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มศึกษาวิเคราะห์ครั้งนี้ด้วย