ขอบคุณข้อมูลจาก | ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
อังกฤษ เยอรมนี และอิตาลี เป็นสามประเทศล่าสุดที่พบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ส่วนอีก 2 ประเทศกำลังลุ้น อิสราเอลห้ามต่างชาติเข้าประเทศเป็นเวลา 14 วัน เริ่มตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 อัลจาซีรา รายงานว่า อังกฤษ เยอรมนี และอิตาลี กลายเป็นสามประเทศล่าสุดที่พบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ขณะที่หลายประเทศได้ระงับการเดินทางจากแอฟริกาตอนใต้แล้ว แม้จะขัดต่อคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ตาม
โอไมครอน ซึ่ง WHO ประกาศให้เป็นเชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล เป็นเชื้อโควิดที่มีโอกาสแพร่ระบาดมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะยังไม่ทราบว่า มันจะทำให้มีอาการรุนแรงมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อนหน้า
อังกฤษพบ 2 ราย
“ซาจิด จาวิด” รัฐมนตรีสาธารณสุขเผยว่า อังกฤษพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว 2 ราย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยทั้งคู่มีความเชื่อมโยงกับการเดินทางไปแอฟริกาใต้
ต่อมา “บอริส จอห์นสัน” นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ออกมาตรการ ซึ่งรวมถึงข้อกำหนดเรื่องการตรวจหาเชื้อที่เข้มงวดขึ้นสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ แต่ไม่ได้ออกมาตรการที่เข้มงวดเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทางสังคม เพียงแต่ขอให้ประชาชนสวมหน้ากากในบางพื้นที่
“เราจะกำหนดให้ทุกคนที่เดินทางเข้าอังกฤษทำการทดสอบ PCR ภายในวันที่สองหลังจากเดินทางมาถึง และให้กักตัวจนกว่าจะทราบผลว่าเป็นลบ” จอห์นสันกล่าวในการแถลงข่าว
“ใครที่เคยสัมผัสกับผู้ติดเชื้อที่คาดว่าจะเป็นสายพันธุ์โอไมครอน จะต้องกักตัวเป็นเวลา 10 วัน และรัฐบาลจะใช้กฎการสวมหน้ากากให้เข้มงวดยิ่งขึ้น” จอห์นสันกล่าว พร้อมกับเสริมว่า มาตรการเหล่านี้จะมีการทบทวนใน 3 สัปดาห์
เยอรมนีพบ 2 ราย อิตาลีพบ 1 ราย
กระทรวงสาธารณสุขรัฐบาวาเรียของเยอรมนี ประกาศพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน 2 ราย ซึ่งเดินทางเข้าเยอรมนีผ่านทางสนามบินมิวนิก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ก่อนที่เยอรมนีจะประกาศว่าแอฟริกาใต้เป็นพื้นที่แพร่ระบาดโควิดสายพันธุ์ใหม่ โดยขณะนี้ทั้งคู่อยู่ระหว่างกักตัว อย่างไรก็ตาม ทางเยอรมนีไม่ได้ระบุรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากแอฟริกาใต้
ในอิตาลี สถาบันสุขภาพแห่งชาติระบุว่า พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ 1 ราย ในเมืองมิลาน ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากโมซัมบิก
เช็ก-เนเธอร์แลนด์ ลุ้น
ด้านเจ้าหน้าที่สาธารณรัฐเช็กเผยว่า กำลังตรวจสอบผู้ต้องสงสัยติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าว 1 ราย ซึ่งเคยใช้เวลาอยู่ที่นามิเบีย
ส่วนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเนเธอร์แลนด์เผยว่า โควิดสายพันธุ์โอไมครอนอาจจะปะปนมากับผู้โดยสาร 61 คน ที่มีผลตรวจโควิดเป็นบวก หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาใน 2 เที่ยวบินจากแอฟริกาใต้
“คริส วิตตี้” ประธานเจ้าหน้าที่การแพทย์ของอังกฤษ กล่าวในการแถลงข่าวเดียวกับจอห์นสันว่า ยังคงมีความคลุมเครืออยู่มากเกี่ยวกับสายพันธุ์โอไมครอน แต่มีโอกาสอยู่บ้างที่วัคซีนบางชนิดอาจจะใช้ได้ผลกับโควิดสายพันธุ์นี้
“ออคซานา พายซิก” คณะเภสัชกรรม มหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน ให้สัมภาษณ์กับอัลจาซีราว่า นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการวิเคราะห์ เพื่อระบุอาการรุนแรงที่เกิดจากโอไมครอน
“สายพันธุ์นี้ถูกพบเร็วมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ข้อเสียคือต้องใช้เวลาสักพักเพื่อทำความเข้าใจ” พายซิกกล่าว
“สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการระบาดคือ การดำเนินการอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ การที่มีสัญญาณเตือน จึงทำให้ประเทศต่าง ๆ มีเวลามากพอในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว หลายประเทศจะไม่มีเวลาเตรียมแบบนี้”
การระงับการเดินทาง
โอไมครอน ซึ่งเป็นเชื้อโควิดกลายพันธุ์ที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำ ถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ในแอฟริกาใต้ และตั้งแต่นั้นได้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อในเบลเยียม บอตสวานา อิสราเอล และฮ่องกง
WHO เตือนว่าอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์เพื่อระบุว่าสายพันธุ์นี้ทำให้ไวรัสมีความรุนแรงหรือแพร่เชื้อได้มากขึ้นหรือไม่
และแม้ว่านักระบาดวิทยาจะกล่าวว่า การระงับการเดินทางอาจสายเกินไปที่จะหยุดไม่ให้โอไมครอนระบาดไปทั่วโลก แต่หลายประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา บราซิล แคนาดา และกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป ได้ประกาศระงับการเดินทางหรือจำกัดการเดินทางจากแอฟริกาใต้แล้ว ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เพิ่มมาตรการจำกัดการเดินทางเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมแนะนำไม่ให้เดินทางไปยัง 8 ประเทศในแอฟริกาตอนใต้
วันเดียวกัน ออสเตรเลียระบุว่า จะห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช่พลเมือง ที่เดินทางไปยัง 9 ประเทศแอฟริกาตอนใต้ เดินทางเข้าประเทศ และจะกักตัวชาวออสเตรเลียที่เดินทางมาจากประเทศเหล่านี้ เป็นเวลา 14 วัน
ขณะที่อังกฤษจะเพิ่มรายชื่อประเทศในบัญชีแดง เพื่อระงับการเดินทางไปยังแอฟริกาตอนใต้ ส่วนเกาหลีใต้ ศรีลังกา ไทย โอมาน คูเวต และฮังการี ได้ประกาศระงับการเดินทางสำหรับประเทศในแอฟริกาตอนใต้แล้ว
ในแอฟริกาใต้ มีความกังวลว่าการจำกัดการเดินทางจะสร้างความเสียหายต่อภาคการท่องเที่ยวและภาคอื่น ๆ ของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่อยู่แล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่และนักวิทยาศาสตร์พากันวิจารณ์มาตรการของประเทศต่าง ๆ ว่า “ไม่ยุติธรรม”
อิสราเอล สั่งห้ามเข้าประเทศ 14 วัน
แชนแนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า อิสราเอลประกาศห้ามชาวต่างชาติทั้งหมดเข้าประเทศ ทำให้อิสราเอลกลายเป็นประเทศแรกที่ปิดพรมแดนโดยสมบูรณ์เพื่อรับมือกับโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ที่อาจมีการติดต่อกันง่ายขึ้น นอกจากนี้อิสราเอลยังใช้เทคโนโลยีติดตามทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีต่อต้านก่อการร้าย เพื่อยับยั้งการระบาดของโอไมครอนด้วย
“นาฟตาลี เบนเนตต์” นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กล่าวในแถลงการณ์ว่า คำสั่งห้ามดังกล่าวอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากรัฐบาล โดยจะมีการบังคับใช้เป็นเวลา 14 วัน ซึ่งเจ้าหน้าที่หวังว่าในระยะเวลานี้ จะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่สามารถป้องกันโอไมครอน
“สมมติฐานในการทำงานของเราคือสายพันธุ์โอไมครอนระบาดแล้วในเกือบทุกประเทศ” อยาเล็ต ชาเก็ต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอิสราเอล กล่าวกับสื่อ และบอกด้วยว่า “วัคซีนก็ใช้ได้ผล แต่เรายังไม่รู้ว่าได้ผลในระดับไหน”
เบนเนตต์เผยด้วยว่า สำหรับการเข้าประเทศของชาวอิสราเอล ซึ่งรวมถึงผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว จะต้องผ่านการกักตัวก่อน ขณะที่การสั่งห้ามเข้าประเทศจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนวันจันทร์เป็นต้นไป ส่วนการห้ามชาวต่างชาติจากประเทศส่วนใหญ่ในแอฟริกา เข้าประเทศ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์แล้ว
“เทคโนโลยีติดตามทางโทรศัพท์มือถือของ ‘ชินเบท’ หน่วยงานต่อต้านก่อการร้ายของอิสราเอล จะถูกนำมาใช้เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน ก่อนที่จะแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น” เบนเน็ตต์กล่าว
เทคโนโลยีดังกล่าวใช้มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เพื่อค้นหาว่าผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่ติดเชื้อโควิดได้ติดต่อและสัมผัสกับใครบ้าง อย่างไรก็ตาม ศาลสูงสุดอิสราเอลได้จำกัดขอบเขตการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวแล้วในปีนี้ หลังกลุ่มเรียกร้องสิทธิออกมาเรียกร้องเรื่องความเป็นส่วนตัว
โควิดสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งพบผู้ติดเชื้อแล้วที่เบลเยียม บอตสวานา ฮ่องกง อิตาลี เยอรมนี และอังกฤษ ได้สร้างความกังวลไปทั่วโลก และทำให้ประเทศต่าง ๆ ออกมาระงับการเดินทางจากแอฟริกา แม้นักระบาดวิทยาจะมองว่ามาตรการนี้อาจจะสายเกินไปที่จะหยุดยั้งไม่ให้โอไมครอนระบาดไปทั่วโลก
จนถึงขณะนี้อิสราเอลมีผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเพียง 1 ราย ขณะที่อีก 7 รายเข้าข่ายต้องสงสัย ด้านกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลไม่ได้ระบุว่าผู้ติดเชื้อรายดังกล่าวได้รับวัคซีนแล้วหรือไม่ และให้ข้อมูลเพียงว่า มี 3 ราย ที่ไม่ได้เดินทางกลับจากต่างประเทศเมื่อเร็ว ๆ นี้
กระทรวงสาธารณสุขเผยด้วยว่า ประชากรประมาณ 57% จากทั้งหมด 9.4 ล้านคนของอิสราเอล ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ในจำนวนนี้มีทั้งผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็ม 3 ของไฟเซอร์-ไบออนเทค และผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 โดส แต่ยังไม่ถึงกำหนดรับเข็ม 3
ปัจจจุบัน อิสราเอลมีผู้ติดเชื้อโควิดสะสม 1.3 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 8,000 ราย นับตั้งแต่มีการระบาด