ทูตรัศม์ ฉะ 7 ปีรบ.ประยุทธ์ การต่างประเทศล้มเหลว-ตกขบวน ไร้เรื่องให้เชิดชู มีแต่เรื่องขายขี้หน้า


ทูตรัศมิ์ ฉะ 7 ปีรบ.ประยุทธ์ การต่างประเทศล้มเหลว-ตกขบวน ไร้เรื่องให้เชิดชู มีแต่เรื่องขายขี้หน้า

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ เจ้าของเพจ ‘ทูตนอกแถว’ เขียนบทความทางเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นเรื่องบทบาทของการต่างประเทศของไทยในขณะนี้ โดย ระบุว่า บทพิสูจน์ความล้มเหลวด้านการต่างประเทศ

หลายคนคงเห็นข่าวไทยตกขบวน(อีกตามเคย) ที่สหรัฐฯเขาไม่เชิญไปร่วมการประชุมสุดยอดประเทศประชาธิปไตย ที่ค่อนโลกได้รับเชิญ ซึ่งจะมีขึ้นเดือนหน้า (แล้วก็ไหนเห็นคุยนักคุยหนาว่าระหว่างประชุม COP 26 ลุงยามแถวนี้ได้ไปสนทนากับบรรดาผู้นำโลกอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง แต่ไหงไม่ทันไรเขาพากันเมินหน้าหนีล่ะ)

ซึ่งจริงๆแล้ว ในสภาพปัจจุบันถ้าหากไทยได้รับเชิญด้วย นั่นสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก และนี่ก็คือการตอกย้ำถึงสถานะความตกต่ำของไทย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตยในภูมิภาคนี้

นอกจากประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ไม่กี่ประเทศ ก็มีพวกประเทศที่อ้างว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย แต่คนอื่นเขาจะเห็นด้วยหรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่อง ที่สหรัฐฯ เขาไม่เชิญ

และเชื่อว่าเดี๋ยวก็คงจะมีคนออกมาแก้ตัวว่าแม้แต่ประเทศเช่นสิงคโปร์ก็ไม่ได้รับเชิญ แต่ขอร้องเลยครับ อย่าเอาประเทศเราไปเปรียบเทียบสิงคโปร์เพราะมันไม่มีอะไรไปเปรียบเขาได้ โดยเฉพาะด้านคุณภาพชีวิต ความกินดีอยู่ดีของประชาชน มันต่างกันมาก และที่สำคัญเราไม่ได้มีผู้นำที่ชาญฉลาด มีวิสัยทัศน์ มีความเสียสละแบบเขา

แต่สิ่งที่ผมอยากบอก และเคยพูดไปแล้ว ว่าในสังคมโลกปัจจุบันนั้น ประชาธิปไตยมันคือบรรทัดฐานทั่วไปของการคบค้าสมาคมกัน ซึ่งมันรวมไปถึงการทำธุรกิจ การค้า การลงทุนต่างๆที่ต้องมีปัจจัยเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ธรรมาภิบาล รวมทั้งสิทธิต่างๆของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทั้งหมดนี้มันผูกโยงเข้ากับเรื่องความเป็นประชาธิปไตยทั้งสิ้น และเป็นเครื่องยืนยันว่าทุกวันนี้ประชาธิปไตยมันเป็นสิ่งที่กินได้แน่นอน เพราะนี่คือเงื่อนไขหลักที่โลกเขาใช้เป็นเกณฑ์ในการคบหา ค้าขาย ลงทุน

ดังนั้นการที่เราไม่ได้เป็นประชาธิปไตยแท้จริง จึงทำให้เราพลาดโอกาสเหล่านี้ รวมทั้งไม่สามารถพัฒนาประเทศได้ และยิ่งเมื่อไร้ซึ่งความสามารถในการบริหารและวิสัยทัศน์ใดๆ จึงทำให้เป็นได้แค่เพียงประเทศเผด็จการในคราบประชาธิปไตยง่อยๆ ที่หมดความสำคัญลงไปเรื่อยๆในสายตาชาวโลก

แล้วก็พอดีเห็นคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ด้วยการยอมรับอย่างไม่ต้องอายอีก ถึงสภาพความเป็นเผด็จการในคราบประชาธิปไตยง่อยๆอย่างที่ว่า ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าที่ผ่านมาหกเจ็ดปีคือความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของด้านการต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมาการต่างประเทศไทยแทบไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการคอยแถแก้ตัวขุ่นๆไปวันๆ แต่โลกเขาไม่ได้หูหนวกตาบอด และนี่ก็คือสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นความล้มเหลวจนตัวเองหมดปัญญาจะแก้ตัว จนต้องออกมารับสภาพ

อยู่มาไม่เคยมีผลงานความคิดริเริ่มอื่นใดอีกในด้านต่างประเทศที่เป็นยอมรับ ไม่เคยทำอะไรให้เป็นที่น่าเชิดชูตาให้คนไทยได้ภาคภูมิใจ นอกจากความขายขี้หน้าแทน

เอาเถอะครับ เกาะเก้าอี้ไว้ให้แน่นแล้วกัน เพราะนอกจากตำแหน่งแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอีก