รมว.ต่างประเทศ ตอบ ไทยไม่ถูกเชิญเวทีโลกไม่แปลก บางเรื่องดีใจด้วยซ้ำ พร้อมแจงไปเยือนพม่า ลับๆล่อๆ ?

‘ดอน’ ลุกโต้ ‘สุทิน’ ถามกระทู้อัด ลับๆล่อๆเยือนพม่า เผย โลกขอให้เป็นตัวกลาง ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ย้ำไม่มีวัคซีน ยันงานตปท. ไม่ใช่พวกพันธุ์หิวแสง ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ
เมื่อเวลา 11.45 น.วันที่ 25 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา กรณีที่ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกาาต่างประเทศ เดินทางเยือนประเทศเมียนมาร์ เมื่อ 14 พฤศจิากยนที่ผ่านมา ตอนหนึ่งว่า การเดินทางไปเยือนเมียนมาร์ของนายดอนรอบนี้ถือว่าผิดปกติ ไม่เหมาะสม เข้าพบผู้นำทหาร ทั้งๆที่ประชาคมโลก โดยเฉพาะสหประชาชาติ ออกมาตรการกดดัน รวมถึงอาเซียนก็ไม่เชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ดังนั้น การเยือนครั้งนี้ถือว่าสวนทางกับประชาคมโลกที่ระมัดระวังท่าทีต่อเมียร์มาร์อย่างมาก การเยือนก็จะส่งแค่ระดับทูตพิเศษ แม้แต่จีนที่ไม่แคร์ใครเลยในโลกก็ส่งแค่ระดับทูตพิเศษ ไม่ใช่ส่งผู้นำระดับสูงที่เป็นถึงรองนายกฯไป

“ที่สำคัญเรายังไปแบบลับๆล่อๆด้วย ไปก็ไม่แถลงข่าว ไม่มีวาระแจ้งประชาชน ว่าไปเยือนเรื่องอะไร กลับมาก็ไม่บอก แต่ที่เราทราบกัน เพราะสื่อเมียนมาร์เขาเปิดเผยออกมานิดหน่อย ไม่ได้บอกว่าเจรจาอะไร เจตนาเพื่อใช้เราเป็นเครื่องมือในการรับรองสถานะ ต้องการให้โลกรู้ว่า รัฐบาลไทย โดยผู้นำระดับสูงไปเยือน ถือเป็นการนำเครดิตของเราไปสร้างความชอบธรรมให้ตัวเขา แล้วที่สำคัญยังปรากฏด้วยว่า มีการมอบของให้เมียนมาร์ โดยเฉพาะวัคซีน ทั้งๆที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่รอรับการบริจาควัคซีน ใช้ในประเทศยังไม่พอ แต่เอาไปมอบให้รัฐบาลทหารด้วย โดยอ้างหลักมนุษยธรรม ซึ่งรัฐบาลจะแน่ใจได้อย่างไรว่า วัคซีนจะไปถึงประชาชน ทั้งๆที่ภายในเมียนมาร์กำลังเค้นฆ่าประชาชนอยู่”นายสุทิน กล่าว

นายสุทิน กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การไปเยือนรัฐบาลรอบนี้ยังนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่สอดคล้องกัน จนเป็นที่ไม่สบายใจของสังคมไทย ประการแรก มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีไอเอ เข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบ เรื่องอะไรก็ไม่รู้ จะกระทบต่อประเทศชาติหรือไม่ก็ไม่รู้ และท้ายที่สุด การประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตยในเดือนธันวาคมนี้ ที่สหรัฐอเมริกาเป็นคนจัด ไม่เชิญไทยเข้าร่วมนั้น เป็นเพราะท่าทีของเราที่ดำเนินการสวนทางกับประชาคมโลกหรือไม่ จึงอยากรู้รัฐบาลมีเหตุผลอะไรถึงไปเยือน แล้วไปเจรจากันเรื่องอะไร การอ้างเรื่องมนุษยธรรมจำเป้นต้องระบุวิธีการมากกว่านี้ว่าสิ่งของที่เอาไปบริจาคนั้น จะถึงประชาชนได้อย่างไร

ด้าน นายดอน ลุกขึ้นชี้แจงว่า ยืนยันว่าการเดินทางไปประเทศเมียนมาร์ ไม่ได้ทำแบบลับๆ ล่อๆ แต่ไม่จำเป็นต้องโพนทะนา เพราะกระทรวงต่างประเทศไม่ใช่มนุษย์พันธุ์หิวแสง แต่ไปทำงานเพื่อเกิดประโยชน์จริงจัง อีกทั้งการเดินทางไปประเทศเมียนมาร์ของตน เนื่องจากเคยทำงานในโต๊ะเมียนมาร์ กระทรวงการต่างประเทศ มานานถึง 40 ปี จึงทราบพัฒนาการต่างๆ คุ้นเคยกันดี จึงรับอาสาขออนุญาติรัฐบาล นำสิ่งของ เวชภัณฑ์ ที่ได้รับบริจาคจากภาคเอกชน รวม 17 องค์กร ทั้งเป็นองค์กรต่างชาติ เช่น ยูนิเซฟดับบลิวเอชโอ องค์กรการกุศลคริสเตียน รวมถึงมูลนิธิของไทย เช่น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง เป็นต้น โดยมอบให้กับกาชาดสากล ซึ่งไทยมีเส้นทางพิเศษ คือ ศูนย์ช่วยเหลือทางไกลด้านโลจิสติกส์ฉุกเฉิน หรือ เดลซ่า โดยมีของบริจาครวม 17 ตัน แต่รอบแรกขนไปได้เพียง 11 ตัน ส่วนที่เหลือจะขนส่งตามไปอีกครั้ง นอกจากนั้น ในการหารือหน่วยงานดังกล่าวมีประเด็นเดียว คือ การช่วยเหลือเมียนมาร์

“ผมไปฐานะเพื่อนบ้าน ตามหลักสิทธิมนุษยธรรม และเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ อีกทั้งประเทศเมียนมาร์เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ เพราะมีชายแดนติดต่อไทยกว่า 2.4 พันกิโลเมตร ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับคำร้องขอจากกลุ่มประเทศอาเซียน และการเรียกร้องจากนานานประเทศ หลังจากที่เดินทางไปประชุมที่สหรัฐอเมริกา ให้ช่วยดูแลขอร้องให้ไทยเป็นสะพานเชื่อมช่วยดำเนินการ ดังนั้น เป็นความจำเป็น และตกลงว่าไม่ให้มีข่าว แต่เมื่อมีข่าวจากฝั่งตรงข้ามของเมียนมาร์ จึงต้องชี้แจง” นายดอน กล่าว

ส่วนกรณีที่มีข่าวระบุว่า มีการบริจาควัคซีนของไทยที่ได้รับบริจาคนั้น นายดอน ชี้แจงว่า เป็นข่าวปล่อย ข้อเท็จจริงไม่มีสิ่งอะไรเลยสักชิ้นที่เป็นของจากรัฐบาล มีแค่ของบริจาคจากภาคเอกชน และเรื่องวัคซีนแม้จะรับหรือจะให้ต้องมีกระบวนการ เช่น ทำเอ็มโอยู ระหว่างเจ้าของวัคซีนด้วย ซึ่งเป็นกติกาสากล อีกทั้งการให้หรือรับต้องผ่านครม.ด้วย ดังนั้นข่าวดังกล่าวถือเป็นข่าวนั่งเทียนหรือบอกข่าวชาวบ้าน ให้ข้อคิดเห็น เป็นข้อมูลที่ผิดพลาด ที่เป็นเฟกนิวส์ ซึ่งเกิดขึ้นทุกวันในบ้านเรา สำหรับนักเล่าข่าว สื่อหรือใครก็ตามในแวดวง เมื่อได้ยินก็ขยายความออกไปในเชิงบิดเบือน ถึงขึ้นเป็นเฟกนิวส์ ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปแบบลับๆ ล่อๆ แต่การทำงานของกระทรวงการต่างประเทศไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ เราทำงานหวังความสำเร็จ เป็นประโยชน์กับประเทศ และประชาชนไม่ว่าฝ่ายใด ทำด้วยความรอบคอบ ไม่ใช่มนุษย์พันธุ์หิวแสง” รมว.ต่างประเทศ กล่าว

นายดอน กล่าวด้วยว่า การเมืองระหว่างประเทศไม่มีอะไรที่แน่นอน ความพยายามที่สร้างสรรค์ สามารถทำคู่ขนานกับความขัดแย้งได้ เหมือนเคยมีคำกล่าวว่า ไฟท์ ไฟท์ ทอล์ก ทอล์ก คือ พยายามคุยกันตลอดเวลา ด้านการต่างประเทศนั้น ตนยอมรับว่า มีผู้แทนพิเศษยูเอ็นเอสจี ขอให้ไทยเป็นตัวกลางเกือบทุกเรื่อง สำหรับผู้แทนสหรัฐที่เดินทางมาประเทศไทย แต่ไทยไม่ให้ข่าว มีประเด็นขอให้ช่วย โดยต้องการให้ไทยเป็นผู้นำอาเซียนในการประสานกับเมียนมาร์ แต่เป็นเรื่องที่พูดหรือเปิดเผยไม่ได้ ซึ่งการพูดคุยกับเมียนมาร์ ที่ผ่านมาเป็นประโยชน์ และเขาเห็นด้วยในหลักการที่จะร่วมมือกับอาเซียน และนานาชาติ ดูแลปัญหาทุกข์สุขของประชาชน และสิ่งที่ได้คุยกับเมียนมาร์ ได้รับความเห็นชอบในหลักการ และได้พูดกับประเทศตะวันตกหลายประเทศ ซึ่งทุกประเทศอยากมีส่วนร่วม

รมว.ต่างประเทศ ยังชี้แจงประเด็นที่สหรัฐฯ ไม่เชิญประเทศไทยร่วมประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย ว่า การประชุมดังกล่าวเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ เป็นเรื่องการเมืองที่ต้องการเล่นงานกันและกัน และกรณีนี้ไม่ใช่ว่าเพื่อนอาเซียนที่เป็นประชาธิปไตยมีการเลือกตั้งจะได้รับเชิญเช่นกัน อย่างประเทศอาเซียนที่เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ได้รับเชิญเช่นกัน ดังนั้น ไม่เชิญไม่แปลก บางเรื่องดีใจที่ไม่ได้รับเชิญ แต่หากเชิญ เราต้องพิจารณาว่า จะไปหรือไม่ เพราะหลายกรณีเป็นดาบสองคมในหลายๆกรณี ไม่ใช่ไม่มีคำเชิญแล้วต้องกระทืบเท้าเสียใจ ขณะเดียวกันแม้เราจะได้รับเชิญก็ไม่ต้องลิงโลด โลกเป็นจริงไม่เป็นแบบนั้น ความจริงของชีวิตต่างประเทศไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนเข้าใจ ผมอยากนัดทานข้าวกับท่าน เพื่อเล่าให้ฟังในหลายมุม

นายดอน กล่าวด้วยว่า สำหรับท่าทีของไทยที่มีต่อเมียนมาร์ในการทำรัฐประหารนั้น เราพยายามสื่อสารว่าให้หาช่องทางพุดคุยปรองดอง แบ่งสรรอำนาจ ซึ่งเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ไปเยือนมานั้น ตนก็ยังคุยว่าต้องหยุดความรุนแรง และปล่อยนักโทษทางการเมืองโดยเร็ว