ชี้ ‘ทรู-ดีแทค’ ควบรวม พนักงานส่อตกงาน 30% เชื่อมียุบศูนย์บริการ-สาขา

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และ บมจ.โทเทิ่ล แอ๊คเซส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค ประกาศความร่วมมือด้วยการแลกหุ้นและจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ขึ้นมา ซึ่งจะทำให้ค่ายทรูและดีแทคผงาดขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเมืองไทย ด้วยฐานลูกค้ากว่า 51 ล้านเลขหมาย แซงหน้าค่ายเอไอเอสที่มี 43.7 ล้านเลขหมายนั้น
แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวทำให้กระแสสังคมและผู้ใช้บริการของทั้งสองค่ายมือถือเกิดความกังวล โดยมองว่าจะทำให้ตลาดสื่อสารโทรคมนาคมไทย เหลืออยู่เพียง 2 ค่ายใหญ่ และมีแนวโน้มที่ผู้ใช้บริการจะถูกเอาเปรียบ ขณะเดียวกัน ในส่วนของพนักงานของทั้งสองค่ายมือถือ ต่างก็กังวลว่าหากมีการควบรวมกิจการกันจริง ในอนาคต คงจะมีการปรับโครงสร้างบริษัท และลดต้นทุน โดยยุบเลิกศูนย์บริการและปิดสาขาที่มีความซ้ำซ้อนกัน เพื่อรวมศูนย์บริการ และใช้เครือข่ายสาขา หรือศูนย์บริการร่วมกัน ทำให้พนักงานหน้าเคาต์เตอร์ และในออฟฟิศบางส่วนอย่างน้อย 30% อาจถูกเลิกจ้าง เพราะเคยมีบทเรียนมาจากการควบรวมกิจการของบริษัทขนาดใหญ่อื่นๆ

แหล่งข่าวกล่าวว่า การควบรวมกิจการดังกล่าว อาจไม่ได้ทำให้กลุ่มทุนเทเลนอร์ได้ประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด โดยนักวิเคราะห์เห็นว่าดีแทคนั้น แม้จะเป็นเบอร์ 3 ในตลาด แต่ผลการดำเนินงานของดีแทคในช่วงที่ผ่านมายังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ยังคงทำกำไรจากการดำเนินงานได้ดี เมื่อดีแทคหันมาจับมือกับกลุ่มทรูดังกล่าว จึงทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทได้รับผลกระทบไปด้วย

ขณะที่แหล่งข่าวจาก กสทช.กล่าวว่า หากเป็นสถานการณ์ปกติ การควบรวมกิจการคงไม่ง่าย ทั้งสองบริษัทจะต้องจัดทำข้อเสนอ เหตุผล ความจำเป็น แผนควบรวมกิจการ รายละเอียดต่างๆ เสนอเลขาธิการ กสทช.ตามประกาศ กสทช.ว่าด้วยการควบรวมกิจการ ขณะที่เลขาธิการ กสทช.ต้องตั้งที่ปรึกษาอิสระขึ้นจัดทำความเห็นประกอบตามมาตรา 7 (1)-(7) โดยต้องพิจารณาสภาพตลาด ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการควบรวม ก่อนนำเสนอบอร์ด กสทช.พิจารณา ซึ่งอาจมีการกำหนดมาตรการก่อนควบรวมว่าอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ซึ่งล่าสุดสำนักงาน กสทช.เพิ่งจะเรียกผู้บริหาร 2 ค่ายมือถือเข้าชี้แจงกรณีการควบรวมกิจการ ขณะที่แวดวงสื่อสารโทรคมนาคมนั้นไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักและเชื่อว่ากรณีนี้ กสทช.คงไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาแค่รับฟังข้อมูลการชี้แจงของทั้งสองบริษัทเท่านั้น คงไม่สามารถจะไปทำอะไรได้