เผยแพร่ |
---|
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ผศ.ดร. อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการเรียนรู้ของเด็กในสังคมยุคใหม่ ในเฟสบุ๊ค อรุณี กาสยานนท์
จาก การศึกษาเพื่อความรู้ สู่ การเรียนรู้เพื่อค้นหาตัวตน
หลายคนบอกว่า สังคมยุคใหม่ (ความจริงก็คือสังคมปัจจุบันนี่แหล่ะ) เป็นสังคมฐานความรู้ (Knowledge-base Society) ที่บอกว่าทุกอย่างจำเป็นต้องใช้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้เป็นพื้นฐาน กับเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อนำความรู้ไปก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม หรือการสร้างนวัตกรรม
จึงนำไปสู่การพูดถึง “มหาข้อมูล” หรือ Big Data ว่าเราต้องมีฐานข้อมูล โครงสร้างพื้นฐานของข้อมูล อย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อพาประเทศไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
แต่หลายคนเห็นแย้งว่า สังคมฐานความรู้ เป็นที่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่มันจะมีประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อผู้คนรู้จัก “การเรียนรู้” เข้าใจถึงวิธีการนำข้อมูลที่มีอยู่จำนวนมหาศาลไปใช้ให้เกิดประโยชน์
เพราะถึงแม้จะมีข้อมูลจำนวนมหาศาลอยู่ในฐานข้อมูล แต่ไม่รู้จักการเชื่อมโยง ไม่มีวิจารณญาณในการคัดแยกตรวจสอบข้อมูล อาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิดและจะกลายเป็น “คนโง่ที่เข้าใจว่าตนเองฉลาดเพราะคิดว่ามีข้อมูล”
โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จ ข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าวปลอม มโนทิพย์ มโนเอง จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือ การมีข้อมูลความรู้ที่เป็นจริงเต็มไปหมดแต่เอาใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ จนเกิดวาทกรรม “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด”
ดังนั้น ความรู้จึงไม่สำคัญเท่า “ความสามารถในการเรียนรู้” สังคมที่ควรเป็น จึงเป็น สังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Society) ไม่ใช่สังคมที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่ใช้การไม่ได้ (ซึ่งแน่นอนว่า การที่จะสามารถเรียนรู้ได้ก็ต้องมีฐานข้อมูลเพื่อให้ได้เรียนรู้อยู่ดี)
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียกกันว่า สังคมฐานความรู้ หรือ สังคมแห่งการเรียนรู้ แต่มันนำไปสู่การออกแบบระบบการศึกษาแบบใหม่เพื่อรองรับสังคมเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Center) ด้วยการเพิ่มบทบาทของผู้เรียน ปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักและรักในการแสวงหาความรู้ หรือ ลดบทบาทการบรรยายหน้าห้องเรียนลง เปลี่ยนผู้สอนเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ เปลี่ยนจากครูเป็นโค้ช หรืออะไรมากมาย ซึ่งหากถามว่า เป็นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ แน่นอนว่าคำตอบคือ ดี และดีมากเสียด้วย
แต่คำถามที่น่าสนใจ คือ แนวคิดนี้เราได้ยินมานาน ไม่ใช่แค่ในต่างประเทศ แต่ในไทยเองเราก็ได้ยินมานานมากแล้วเหมือนกัน แต่ทำไม การศึกษาไทยถึงยังไม่ไปไหนซักที ?
เราอาจต้องถอยกลับไปสู่จุดตั้งต้นของการเรียนรู้ใหม่ คำถามพื้นฐานสำคัญสำหรับการที่เด็กคนหนึ่งจะเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่คำถามที่ว่า ข้อมูลที่ต้องใช้มีอะไรบ้าง ข้อมูลนี้จริงหรือไม่ เชื่อถือได้หรือเปล่า หรือจะเข้าถึงและใช้ข้อมูลนี้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร แต่คำถามพื้นฐานที่เราควรตั้ง คือ เราจะเรียนรู้ไปทำไม?
ช่างเป็นเรื่องตลกสิ้นดีหากเรามีพร้อมทุกอย่าง ทั้งข้อมูล เครื่องมือ รวมทั้งคู่มือที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลและวิธีใช้เครื่องมือเหล่านั้น แต่เรากลับตอบไม่ได้ว่า เราจะเอาไปทำอะไร
ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คงเหมือนกับการต่อเลโก้ ถ้าเรามีตัวต่อที่มากมายหลายแบบหลายสีหลายขนาด (เหมือนกับการมีและเข้าถึงข้อมูลมหาศาล) เรามีคู่มือที่เพรียบพร้อมในต่อ ตัวต่อตัวไหนสามารถต่อกับตัวไหนได้ ตัวต่อแต่ละตัวทำอะไรได้บ้าง (รู้ว่าข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรและใช้ยังไง) แต่มันจะไม่มีทางเป็นรูปเป็นร่างได้เลย ถ้าเราตอบคำถามพื้นฐานไม่ได้ว่า เราอยากจะต่อเป็นรูปอะไร ซึ่งนั่น คือ ปัญหาของการศึกษาไทย เพราะ เด็กไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม หรืออาจจะพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่รู้ว่าตนเองอยากเป็นอะไร ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานแต่สำคัญที่สุด
การที่ไม่รู้ตนเองว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร นำไปสู่การเรียนในสาขาหรือคณะที่ตนเองพอเรียนได้ พอเรียนไหว ไม่ได้เลือกจากคณะที่อยากเรียน เพราะไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร และเมื่อต้องเรียนในสิ่งที่ไม่ได้อยากเรียนเมื่อจบการศึกษามา เด็กจะพบกับทางแยกของชีวิต
คือ 1.หางานที่ตรงกับสาขาที่ตนเองเรียนโดยที่ไม่ได้ชอบ หรือ 2.ทำงานในสิ่งที่ตนเองชอบและอยากทำแม้ไม่ตรงสาขาที่เรียนจบมาก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่า บัณฑิตจบใหม่จำนวนมากเลือกทำงานในสิ่งที่ตนชอบแม้ไม่ตรงสาขาที่จบมา อันนำไปสู่ปัญหา “เด็กทำงานไม่ตรงสาย” (ซึ่งถ้ามองว่ามันเป็นปัญหานะ)
ดังนั้น การศึกษาไทยจึงควรออกแบบเพื่อตอบคำถามพื้นฐานตั้งต้นก่อนเป็นอันดับแรก คือ การช่วยให้เด็กค้นหาตนเองและรู้ว่าเขาอยากเป็นใครในอนาคต เพื่อให้เด็กรู้เป้าหมายของตนเอง ก่อนที่จะสอนหรือส่งเสริมถึงวิธีการเรียนรู้ เพื่อให้เข้าถึงข้อมูล ประยุกต์ วิเคราะห์และใช้ประโยชน์ของข้อมูลมหาศาลรอบตัว เพื่อให้เด็กบรรลุเป้าหมายหรือความฝันที่ตนเองต้องการ
การทำให้เด็กคนหนึ่งค้นหาตัวตน ความชอบ และวาดความฝันของตนเองได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ใหญ่หลายคนก็อาจจะยังตอบไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าความฝันความชอบของตนเองคืออะไร (ซึ่งผู้ใหญ่เหล่านี้ก็เป็นผลผลิตของระบบการศึกษาที่ยัดเยียดความรู้โดยไม่สนใจการค้นหาตัวตนของเด็ก)
เพราะการค้นหาความฝัน ค้นหาตัวตน ไม่มีวิธีที่ตายตัว ไม่มีหลักสูตรอบรมค้นหาความฝันที่แท้จริง และไม่มีใครสอนให้เราค้นหาความฝันของเราได้ บางครั้งเราค้นพบความชอบหรือความฝันจากความบังเอิญเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น วิธีที่ทำให้เด็กพบเจอความชอบ ความฝันและตัวตนของเด็กที่ดีที่สุด คือ “อย่าสอน”
อาจจะฟังดูตลก แต่เรื่องจริง
“อย่าสอน” เพราะบางครั้งผู้สอนหรือครูหลายคนก็ยังไม่ค้นพบความฝันของตนเองเหมือนกัน บางคนเป็นครูเพราะที่บ้านอยากให้รับราขการ ไม่ใช่ความฝันของตัวเองจริงๆ หรือเรียนครูเพราะเรียนได้ ไม่ใช่อยากเรียน หรือ การเป็นครูอาจจะเป็นความฝันจริงๆ ก็ได้ แต่วิธีค้นหาความฝันในยุคของครู อาจจะไม่เหมือนกันกับยุคของเด็กปัจจุบัน อาจจะใช้วิธีเดียวกันไม่ได้ ดังนั้น “อย่าสอน”
แล้วเราทำอะไรได้บ้าง ???
ความชอบ มักเกิดจากประสบการณ์ และความชอบนั้นอาจจะนำไปสู่ความฝันของเด็ก ดังนั้น วิธีที่อาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่ยืดหยุ่นมากที่สุด คือ การทำให้เด็กได้พบเจอกับประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ให้เด็กได้ลองทำ ลองเห็น และเรียนรู้ไปกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติ การทำโครงงาน การออกไปทัศนศึกษา การออกไปเข้าค่าย การจำลองวิชาชีพ หรือการทำกิจกรรมต่างๆ
ซึ่งนอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว การพักผ่อนก็ช่วยชักนำไปสู่การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การฟังเพลง การดูหนัง ซีรี่ย์ การดูสารคดีท่องโลกกว้าง การออกไปเที่ยว เดินป่า ดำน้ำ การอกไปพบปะผู้คน หรืออื่นๆ ทั้งหมดนี้ คือ การสร้างประสบการณ์
แน่นอนว่า ประสบการณ์เหล่านี้ อาจจะไม่ช่วยทำให้เด็กค้นหาความฝัน หรือเด็กอาจจะยังไม่รู้ในสิ่งตนชอบ แต่หลังจากที่ได้ลองเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว อย่างน้อยเด็กจะรู้ว่า “เราไม่ชอบอะไร”
ซึ่งจะเป็นการค่อยๆ ตัดสิ่งไม่ชอบออก จนเหลือแต่สิ่งตนชอบในที่สุด หรืออาจจะโชคดีเด็กสามารถค้นหาความฝัน ค้นพบตัวตนที่แท้จริงเลยก็ได้
ทั้งหมดนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นในห้องเรียน หรือในโรงเรียนก็ได้ เพราะนี่ไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้เพื่อค้นหาตัวตน
เราจะมีตัวต่อเลโก้หลายสีหลายขนาดไปทำไม ถ้าเราไม่รู้ว่า เราจะต่อเป็นรูปอะไร
เราจะมีข้อมูลมหาศาลไปทำไม ถ้าเราไม่รู้ว่า เราจะเอาข้อมูลไปใช้ทำอะไร
เราจะศึกษาเล่าเรียนตลอดเกือบ 20 ปีไปทำไม ถ้าเราไม่รู้ว่า เราเรียนไปเพื่ออะไร
ดังนั้น สิ่งที่ผู้ปกครอง สิ่งที่ครู สิ่งที่ผู้อำนวยการโรงเรียน สิ่งที่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ สิ่งที่รัฐบาล ควรทำ
คือ สร้างสภาพแวดล้อมแห่งเสรีภาพ เร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากพอที่จะปล่อยให้ผู้คนออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้ออกลิ้มรสประสบการณ์ใหม่ๆ แทนที่จะถูกกักตัวอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม เพื่อให้เขาได้ค้นพบตัวตน ค้นหาความฝัน และค้นหาเป้าหมายชีวิตของตัวเขา ด้วยตัวเขาเอง
โดยเฉพาะช่วงเวลาแบบนี้ เป็นช่วงเวลาที่ดี ที่ผู้กำหนดนโยบาย ครู ผู้ปกครอง รวมทั้งเด็ก ได้มีเวลากลับมาทบทวนตัวเอง เพราะโลกยุคหลังโควิด จะเป็นโลกที่ผู้คนจะแข่งขันกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เด็กไทยไม่ควรเสียเวลาเปล่ากว่า 20 ปีในการศึกษาที่ไม่รู้ว่าเรียนไปทำไม ไม่รู้ว่าความฝันของตนคืออะไร
มันถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนผ่านระบบการเรียนรู้ใหม่ และเพื่อตอบปัญหาพื้นฐานนี้ เราจึงต้องเปลี่ยน
…จากการศึกษาเพื่อความรู้ สู่ การเรียนรู้เพื่อค้นหาตัวตน… อย่างจริงจังเสียที