#ท้าเปลี่ยนประเทศไทย : “หญิงหน่อย” โฟกัสคนตัวเล็ก เปิดนโยบายแช่แข็งกม.ล้าหลัง 1.5 พันฉบับ

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 13.10 น. ที่ห้องประชุมข่าวสด มติชนสุดสัปดาห์ นิตยสารรายสัปดาห์ที่เป็นชุมชนนักคิด คอลัมนิสต์ที่นำเสนอแง่มุม ให้วิเคราะห์ ต่อยอดและถกเถียงแลกเปลี่ยน ได้ก้าวสู่ครบรอบปีที่ 42 ของนิตยสาร ได้จัดงานเสวนา 2565 ท้าเปลี่ยนประเทศไทย เชิญบุคคลสำคัญของพรรคการเมืองชั้นนำของไทยมาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ภาคการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศหลายมิติ หลังผ่านวิกฤตโควิด-19

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ที่ขึ้นเวทีพร้อมกับเก้าอี้พับ 2 ตัว กล่าวว่า ก่อนที่เราจะท้าเปลี่ยนประเทศไทย ผู้นำต้องฟังประชาชน ว่าพวกเขาต้องการอะไร อนาคตต้องเป็นยังไง แต่ผู้นำจากการยึดอำนาจ นอกจากไม่ฟังเสียงประชาชนแล้ว ยังก่อมหาวิกฤตซ้ำซ้อนไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมืองหรือโควิดจนเหลื่อมล้ำสูงสุดในโลก วันนี้เห็นว่าเศรษฐกิจสาหัส สิ่งที่ตามมา รายได้ครัวเรือนไม่พอใช้ หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันเรื่องของประชาธิปไตยเป็นอย่างไร จากการยึดอำนาจโดยทหาร สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย เกิดความเหลื่มล้ำทุกมิติ เราถูกด้อยค่าประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพถูกละเมิดย่ำยี และละเลยนิติธรรม ทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ซึ่งเกิดขึ้นจากแนวคิดรัฐราชการและอำนาจนิยมเผด็จการ ซึ่งยังเปลี่ยน ทำให้เป็นจุดที่ต้องมีพรรคไทยสร้างไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ ได้กล่าวถึงเก้าอี้ 2 ตัวที่ถูกนำขึ้นมาจัดวางบนเวที โดยตัวหนึ่ง มีการพิมพ์ข้อความบนพนักพิงสีดำว่า ‘ฟัง’ และอีกตัวหนึ่งซึ่งมีพนักสีแดง พิมพ์ข้อความว่า ‘เสียง’ โดยกล่าวว่า เก้าอี้ทั้ง 2 คือสัญลักษณ์ของ ‘การฟัง’ พรรคไทยสร้างไทย ต้องการเป็นพรรคของทุกคน ไม่ใช่เป็นฐานเหยียบให้เผด็จการ เราจะพาเก้าอี้ 2 ตัวนี้ไปหลายฟังประชาชน ซึ่งจะพาไปทุกจังหวัดของไทยทั้ง 77 จังหวัด

คุณหญิงสุดารัตน์ยังได้กล่าวถึง ความท้าทายของพรรคไทยสร้างไทย มี 3 อย่าง คือ

  1. ความท้าทายในการแก้วิกฤตการเมือง ต้องแก้แนวคิดอำนาจนิยม เปลี่ยนรัฐราชการเป็นรัฐประชาชน และกระจายอำนาจ
  1. การพาประชาชนให้หลุดพ้นจากกับดักความยากจน วิกฤตเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัญหาที่หนักที่สุด โดยจะทำทุกสิ่งให้คนไทยมีโอกาสทำมาหากินได้รวดเร็วที่สุดและแข็งแรงที่สุดหลังโควิด การช่วยให้คนตัวเล็กมีพลังลุกขึ้นมา คือ การสร้างพลังให้ประชาชนสามารถต่อรองกับรัฐได้ ตั้งแต่เอสเอ็มอี ถึงเกษตรกร เช่น การปลดปล่อยประชาชนออกจากกฎหมายและใบอนุญาตต่างๆที่ล้าหลัง เป็นอุปสรรคในการทำมาหากิน อาทิ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม ร้านอาหาร คราฟต์เบียร์ เมื่อศึกษาพบว่ามีราว 1,500 ฉบับที่ล้าหลัง เราจะออก พรก. 1 ฉบับ ใช้เวลาเพียง 3 สัปดาห์ ยกเว้นการใช้กฎหมายและใบอนุญาตที่ไม่จำเป็นออกไป 3 ปีเพื่อให้คนตัวเล็กลุกขึ้นมาทำมาหากินได้เร็ว จะเหลือแค่กฎหมายและใบอนุญาตที่จำเป็นราว 100 ฉบับเท่านั้น

นอกจากนี้ จะจัดให้มีสภาประชาชนประจำหมู่บ้าน ทำหน้าที่กลั่นกรองตัดสินว่าเมื่อมีงบประมาณเข้ามา จะนำไปทำอะไร โดยประชาชนจะเป็นผู้ตรวจรับงานโดยใช้เทคโนโลยีช่วย

3. การตั้งกองทุน 5 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุนเอสเอ็มอี ซึ่งมีจำนวน 3 ล้านกว่าราย ต้องมีกองทุนที่ให้โอกาส 2) กองทุนสตาร์ทอัพ ซึ่งไทยและโลกจะขับเคลื่อนด้วยคนยุคใหม่ 3) กองทุนท่องเที่ยว ให้ผู้ประกอบการต่อยอด 4) กองทุนวิสาหกิจชุมชน ช่วยลูกหลานเกษตรกร พัฒนาภูมิปัญญาต่อยอดสร้างอาชีพ 5) กองทุนเพื่อคนตัวเล็ก ผู้ที่กู้เงินนอกระบบให้เข้าสู่ระบบด้วยดอกเบี้ยถูก

เอสเอ็มอีเป็นตัวจักรสำคัญทางเศรษฐกิจ ทำรายได้เข้าประเทศถึง 35%ของจีดีพี ขณะนี้เอสเอ็มอี 90%อยู่นอกระบบ เราต้องให้พวกเขาเข้าถึงทุนโดยเฉพาะช่วงโควิด และอันต่อมา กองทุนสตาร์ทอัพ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ทำมาหากินและกองทุนท่องเที่ยวให้กับผู้ประกอบการได้ต่อยอด กองทุนวิสาหกิจชุมชนให้เกษตรกรได้ใช้ทรัพย์สิน ที่ดิน ภูมิปัญญา ต่อยอดสร้างอาชีพ

วันนี้หนี้สินครัวเรือนกว่า 90% ที่เคยกู้นอกระบบ มาอยู่ในระบบด้วยดอกเบี้ยต่ำ คนตัวเล็ก 30 กว่าล้านคนเข้าสู่ระบบและเข้าถึงตลาดให้ได้

เมื่อถามถึงการสร้างพรรคไทยสร้างไทย ทำยังไงให้คนอื่นรู้จักว่าพรรคนี้ไม่ใช่มองแต่คุณหญิงสุดารัตน์ ซึ่ง คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ตนต้องการสร้างพรรคครั้งสุดท้าย เราทำตัวเป็นเสาเข็ม สะพาน เชิญชวนคนทุกรุ่นเข้ามา ถ้าการเมืองตอนนี้ไม่ดี ต่อให้แกร่งแค่ไหนก็ไม่รอด คุณต้องมีเปลี่ยนบรรยากาศเอง เรามีผู้ก่อตั้งที่ตามออกมาและจากหลายที่ แต่นั้นไม่พอ เราต้องแสวงหา วันนี้ 30 ปีทางการเมืองของตัวเองพอแล้ว ต่อไปนี้คือทำให้ กับประชาชนและประเทศชาติ เราทำตัวเป็นสะพานดึงคนมาร่วมสร้างไทย

เมื่อถามถึงพรรคในการเข้าหาฐานเสียงหลักที่จะสื่อสาร สุดารัตน์กล่าวว่า เราหาเสียง วางพรรคอยู่ที่ฝั่งประชาชน ไม่เป็นฐานเหยียบให้เผด็จการ และวางให้กับคนตัวเล็ก ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของประเทศ ถ้าฐานใหญ่ยังยากจน ประเทศไม่มีทางรวยขึ้น ประชาชนไม่รอด รัฐบาลก็ไม่รอด นั้นทำให้เห็นว่าทำไมรัฐบาลเก็บภาษีไม่ถึงเป้า จนต้องกู้แหลก เราโฟกัสคนตัวเล็กเพื่อขจัดความยากจน เราก็จะทำให้เรามีโอกาสสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ เราคิดอย่างเดิมไม่ได้แล้ว โควิดและดิจิตัลเร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลง เราต้องฐานรายได้ใหม่ให้ประเทศ ไทยสร้างไทยมองว่าต่อไป เทรนด์สุขภาพ ท่องเที่ยว ฮัปของสตาร์ทอัพและบริษัทไอที และสุดท้ายเน้นเศรษฐกิจดิจิตัลและเศรษฐกิจสีเขียว ถ้าไม่ทำนโยบายคาร์บอนเครดิต ไม่เพียงภัยพิบัติหนักขึ้นแต่จะเจอกำแพงภาษีในอนาคต ซึ่งเราเตรียมความพร้อมไว้แล้ว

เราจะเอาเก้าอี้ 2 ตัว ในโครงการฟังเสียงสร้างไทยเร็วๆนี้ ทั่วประเทศ