“สุชาติ” ชี้เวิล์ดแบงก์เตือนไทย “เป็นหนี้มาก ศก.ฟื้นยาก” ซัดมีผู้นำประเทศขาดปัญญา

ศ.สุชาติ! “ธนาคารโลกเตือน เป็นหนี้มาก เศรษฐกิจจะฟื้นยาก” ผู้นำต้องเก่งและฉลาด จึงจะฟื้นเศรษฐกิจได้

วันที่ 17 ตุลาคม​ 2564 ศ​าสตราจารย์​ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช​ อดีตรัฐมนตรีว่าการกะทรวงการคลัง​ และอดีตห​ัวหน้าพรรค​เพื่อไทย​ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารโลกได้ออกมาเตือนประเทศกำลังพัฒนาและประเทศรายได้ปานกลางว่าเป็นหนี้เพิ่มขึ้นมากแล้ว จะทำให้ฟื้นเศรษฐกิจยาก ซึ่งไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง ที่สร้างหนี้เพิ่มขึ้นมากมายทั้งหนี้ภาครัฐบาลและหนี้ครัวเรือน อันเนื่องมากจากฝีมือของรัฐบาลทั้งสิ้น ที่ทำให้ประเทศไม่เจริญเติบโต เพราะผู้นำไม่น่าเชื่อถือ รัฐใช้เงินฟุ่มเฟือย และคอรัปชั่นกันมากมาย

หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นเกีอบ 93% ของ GDP แล้ว คือเกือบ 15 ล้านล้านบาท เนื่องมาจากรัฐบาลสั่งหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจซ้ำๆ ซากๆ ปิดเมือง ปิดจังหวัด ทำให้คนต้องหยุดทำงาน​ หยุดหารายได้ จึงไม่มีจะกิน เมื่อปิดเมืองแล้ว ก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ วัคซีนมีน้อย และเป็นวัคซีนที่คุณภาพต่ำ เชื้อโรคจึงแพร่กระจายไปทั่วประเทศ

เมื่อต้องหยุดทำมาหากิน ประชาชนก็ต้องไปกู้มากินมาใช้เป็นจำนวนมาก ครัวเรือนมีความยากลำบาก เพราะเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่มีเงินใช้หนี้ และไม่มีเงินมาลงทุนเพื่อฟื้นรายได้

นอกจากนี้ รัฐบาลเองยังไปกู้เงินมากมาย แต่ใช้เพียงบางส่วนอุดหนุนประชาชน แต่ส่วนใหญ่ใช้ในโครงการเบี้ยหัวแตก คอรัปชั่นกันได้ง่ายๆ และยังใช้ในการโฆษณาตัวรัฐบาลเอง ใช้ติดตามตรวจสอบประชาชน ใช้ทำ I-O ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญไทย และขัดหลักสิทธิและเสรีภาพประชาชน ที่รัฐบาลได้ลงนามไว้กับองค์การสหประชาชาติ

จนกระทั่งปัจจุบันภาครัฐเป็นหนี้เกินระดับความยั่งยืน 60% ของ GDP แล้ว แทนที่รัฐบาลจะหยุดกู้เงิน รัฐบาลกลับขยายเพดาหนี้ให้เป็น 70% เพื่อไปกู้เงินมาอีก เป็นการผิดคำพูดของรัฐบาลที่ว่าจะไม่กู้เงินเกิน 60% ของ GDP​ จะไม่ทำผิดกฎหมาย

ในอนาคตอีกไม่นาน คาดได้ว่ารัฐบาลจะไปขึ้นภาษีกับประชาชน เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ ทั้งหนี้ภาครัฐบาลและหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงถึงกว่า 155 % ของ GDP แล้ว ซึ่งประชาชนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด รัฐบาลไม่ได้รับผิดชอบอะไร

นอกจากนี้ รัฐบาลยังปล่อยให้ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ข้าวเปลือกตันละ 5-6,000 บาท ต่ำกว่าเมื่อ 15 ปีมาแล้ว ที่ตันละ 10,000 บาท และรัฐบาลยังปล่อยให้ราคาน้ำมันขายปลีกขึ้นราคาไปมากถึง 10 บาท เมื่อเทียบกับราคาเมื่อเดือนตุลาคมปี 2563 วันนี้ราคาน้ำมันดีเซล จะเกินลิตรละ 30 บาทแล้ว ซึ่งมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของประชาชน รัฐบาลจึงควรเข้าพยุงราคาน้ำมันโดยนำเงินกองทุนน้ำมันมาดูแล และควรลดภาษีสรรพสามิตดีเซล ควรลดราคาขายน้ำมันหน้าโรงกลั่น เพราะเป็นราคาสิงคโปร์บวกต้นทุนค่าขนส่งนำเข้า ซึ่งเป็นต้นทุนเทียม และควรลดค่าการตลาด ซึ่งตอนนี้ขึ้นไปกว่า 2 บาทแล้ว

อีกทั้ง รัฐบาลควรนำเงินกว่า​ 20,000 ล้านบาท​ ที่โอนจากกองทุนน้ำมันไปใช้ในงบประมาณ​ เพราะไม่ใช่เงินรายได้รัฐบาล​ แต่เป็นเงินของประชาชน​ และรัฐบาลยังควรยกเลิกการใช้ราคาแก๊สหุงต้มจากซาอุดีอาระเบีย​ ขายให้ประชาชน​ ทำให้ราคาแพงมาก แก๊สหุงต้มเราผลิตเอง​ ควรคิดราคาต้นทุนบวกค่าใช้จ่ายของเราเอง​

รัฐบาลยังควรยกเลิกนโยบายการขายน้ำมันให้ต่างประเทศในราคาถูก แต่ขายในประเทศในราคาแพง เป็นการเอาเงินคนในประเทศไปอุดหนุนคนต่างชาติที่ร่ำรวยกว่า หากไม่นับรวมภาษีน้ำมัน ประชาชนไทยควรซื้อน้ำมัน ได้ในราคาเช่นเดียวกับที่เราขายให้ต่างชาติ

ขณะนี้มีปัญหาเงินเฟ้อเริ่มเกิดขี้นทั่วโลก อันเนื่องมาจากระบบเครือข่ายการผลิต (Supply chain) หยุดชะงัก และราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็วมาก ซึ่งอัตราเงินเฟ้อ หรือราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5% แล้ว ถ้าไม่จัดการให้ดี อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยก็จะเพิ่มขึ้นด้วย จะยิ่งทำให้พี่น้องประชาชน ต้องซื้อข้าวของในราคาสูงขึ้น

ปัญหาโลกร้อน ทำให้ฝนตกหนัก น้ำท่วม ทำให้พี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นเวลานาน ปรากฏว่าผู้นำขนข้าราชการจำนวนมากมายไปดูน้ำท่วม แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรให้ ดูจะเป็นการสร้างภาระให้ประชาชนมากขึ้น​ ประชาชนหลายพื้นที่จึงออกมาขับไล่ โครงการป้องกันน้ำท่วมตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายกฯ​ ยิ่งลักษณ์ เมื่อ 7 ที่แล้ว รัฐบาลนี้ไม่ได้ทำอะไร

การจะเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ดูน่าเป็นห่วง เพราะในหลายพื้นที่ การจัดการโรคระบาดโควิด ยังไม่เรียบร้อย และที่น่าแปลกใจก็คือ ทำไมเลือกประเทศ 10 ประเทศก่อน เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ยุโรป เป็นต้น ซึ่งดูเหมือนไม่รวมญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง ดูเป็นการเลือกปฏิบัติ ทำไมไม่เปิดประเทศโดยใช้กฎเกณฑ์สาธารณสุข เป็นมาตรการสากล ที่ดูดีกว่า

ทั้งหมดนี้ ก็เนื่องมาจาก เรามีผู้นำที่ขาดสติปัญญา ไม่มีความรู้ ตัดสินใจโดยไม่รู้ ใช้แต่ความรู้สึก ชอบพูดส่งเดชพร่ำเพื่อ คำพูดผู้นำจึงไม่มีเครดิต​ ไม่น่าเชื่อถือ ผู้นำชอบตัดสินในเป็นเรื่องๆ และมักขัดแย้งกันในภาพใหญ่ ดูภาพรวมองค์รวมไม่เป็น จึงทำให้ประเทศเราแย่ ประชาชนยากจนลงมาก มากว่า 7 ปีแล้ว ก็คือ เศรษฐกิจก็ไม่เติบโต ประชาชนไม่มีงานทำยากจนลง

ดังนั้น การที่ผู้นำจะขออยู่ต่ออีก 5 ปี เพื่อเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะผู้นำคือบุลคลคนเดียวกันที่ปฏิวัติยึดอำนาจมา ไม่มีคนยอมรับและเชื่อถือ แล้วยังแสดงออกอย่างไม่ฉลาดอยู่บ่อยๆ ทำให้เสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนไทย.. ดร.สุชาติ​ กล่าว