เผยแพร่ |
---|
วันที่ 16 ตุลาคม 2564 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช.และผู้ประสานงานเครือข่ายไล่ประยุทธ์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความเล่าวันวานถึงการพบกันระหว่างตัวเองและคนหนุ่มสาวระหว่างอยู่ในเรือนจำจากคดีทางการเมือง รวมถึงแนวทางปราบปรามคนหนุ่มสาวที่ต่อต้านรัฐบาลพลเรือนสีลายพรางของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า
16 ตุลาคม 2563 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 06.30 น. ไขกุญแจเปิดเรือนนอน
“อาครับ ตอนดึกนักศึกษาเข้ามาอีกเกือบ 20 คน นอนห้องเดียวกับไผ่” ผู้ต้องขังผู้ช่วยเจ้าหน้าที่กระซิบบอก
ผมออกจากห้อง 7 แดน 2 เดินไปยืนหน้าห้อง 5 ที่อยู่ติดกัน ไผ่ ดาวดิน ซึ่งเข้ามาตั้งแต่คืนวันที่ 14 ยืนยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ในนั้น ใกล้กันมีผู้ต้องขังนอนบ้างนั่งบ้างเรียงรายเต็มห้อง
“มาอีกกี่คนวะ ?”ผมเปิด
“17 พี่ เอาเข้ามาหมดเลย ไอ้นี่ยังเอามา โคตรมั่วเลย” ไผ่ว่าพร้อมชี้มือไปที่”หัวหน้าเบน”ซึ่งมีลักษณะพิเศษ
“มีใครเคยติดคุกบ้าง ?”
“ไม่ครับ มีแต่ผมคนเดียว”
“งั้นเอ็งต้องดูแลเพื่อนนะ พี่ต้องลงไปก่อน สายๆค่อยคุยกัน”
จบปุจฉา วิสัชนา วาระคนคุกที่ตรงนั้น
ผู้ต้องขังมีวงเงินซื้อของร้านค้าได้ 300 บาท/วัน การดูแลเด็กหนุ่มวัยกำลังกินเกือบ 20 คนจะเป็นไปได้อย่างไร
ผมเรียกน้องๆใกล้ชิด 2 คนมาขอใช้เงินในบัญชีพวกเขาร่วมด้วย ซื้อขนม นม เนย บะหมี่ ปลากระป๋องและข้าวของจำเป็นได้ 3 ตะกร้าใหญ่ ผมแบกนำหน้า ที่เหลือแบกตามกันไปห้อง 5 รวมดาราดาวดิน
“เอ้าน้องๆ มีอาหารมาส่ง แบ่งกันตามที่มีก่อน ช่วงโควิดคนใหม่ต้องกักตัว 14 วัน พี่มา 4 เดือนแล้วอยู่ข้างล่างได้ ใครอยากได้อะไรบอกเด็กที่ขึ้นมาทำงานนะเดี๋ยวพี่จัดการให้” ผมบอกพลางส่งของให้พร้อมกับการยกมือไหว้และคำทักทายจากเหล่าเด็กหนุ่มรวมถึงแอมมี่ ไดโน่ นันทพงษ์ และนักสู้เสื้อแดงที่ติดมาด้วย 2 – 3 คน
“ณัฐวุฒิ เขาจะปล่อยเมื่อไหร่ ให้ผมออกไปนะ ให้ประกันมั้ย ช่วยผมด้วยนะณัฐวุฒิ นะ นะ …” หัวหน้าเบนเริ่มโชว์ฟอร์ม พูดแนวนี้เป็นระยะตลอดการสนทนาระหว่างผมกับคนอื่นๆ
ผมทำหน้าที่ฝ่ายเสบียงและบริการทั่วไป บอกคนข้างนอกสั่งอาหารร้านของเรือนจำ ไก่ย่าง เป็ดพะโล้ ปลาทอด ฯลฯ น้ำอัดลมเย็นๆและกำลังใจ ได้พูดคุยกันก็ช่วงสั้นๆ
วันหนึ่งทั้งคณะลงมาวิดิโอคอนเฟอร์เรนซ์ฝากขัง ระหว่างพวกเขานั่งรอในโรงเลี้ยงผมเข้าไปยืนคุยด้วย บอกว่าความเข้มแข็งของคนข้างในคือเกียรติยศศักดิ์ศรีของคนข้างนอก และย้ำว่า”พวกคุณคือนักสู้ไม่ใช่นักโทษ”
ค่ำวันถัดมาพวกเขาได้ประกันแต่ไผ่ต้องอยู่ต่อ แอมมี่เดินมาเรียกผมที่ห้อง 7 ร่ำลากันผ่านลูกกรง “ออกไปอย่างทรนงองอาจนะน้อง” ผมบอกเขา
สักพักได้ยินเสียงบทกวีของพี่วิสา คัญทัพ ดังขึ้นกลางวิกาลในที่คุมขัง เพื่อนร่วมห้องผมคนหนึ่งลุกขึ้นยืนดูแล้วบอกว่า “มาดูสิ เด็กยืนแถวท่องกลอนกันข้างล่าง”
ผมไม่ได้ไปดูแต่นอนอมยิ้มอยู่ตรงนั้น ฟังบทกวีจนจบคำสุดท้าย รำพึงกับใจตัวเองว่า ‘ร้ายจริงๆ ไอ้พวกนี้’
ผ่านมาแล้ว 1 ปี ….
ไผ่กับไดโน่กลับเข้าคุก อานนท์ เพนกวิน ไมค์ และอีกหลายคนรวมทั้ง เบนจา ก็ยังอยู่ในคุก ทัศนคติและวิธีการต่อเยาวชนไม่เปลี่ยนแปลง ความแข็งกร้าวรุนแรงจากรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
น่าตกใจที่สถานการณ์อันแหลมคมจากพลังคนหนุ่มสาวเมื่อปีที่แล้วไม่ทำให้ผู้มีอำนาจฉุกคิด ไม่พยายามรับฟังและทำความเข้าใจ ไม่แม้กระทั่งจะรับรู้ว่านี่คือสรรพเสียงแห่งยุคสมัย
เด็กที่โตตามกันมาส่วนใหญ่แนวคิดไปทางเดียวกันและไม่มีทางที่กระบวนการมัดย้อมความคิดแบบเดิมจะจัดการได้ การใช้อำนาจไม่ใช่การแก้ปัญหา ลองคุยกับลูกหลานตัวเองฟังความคิดพวกเขาดู จะเข้าใจสิ่งที่ผมอธิบาย
นายกฯคิดแต่เรื่องอยู่ต่อ ไม่รู้สึกรู้สาว่าเราจะอยู่กันอย่างไรในอีก 5 หรือ 10 ปีภายใต้พลวัตของความเปลี่ยนแปลงที่รัฐใช้ทุกอำนาจกดทับไว้ เรามาถูกทางจริงหรือ
เด็กติดคุกซ้ำๆเพราะออกมาสู้ ที่ถูกดำเนินคดีก็เพิ่มขึ้นทุกวัน 1 ปีผ่านไปผิดที่เด็กหรือผิดที่ผู้ใหญ่กับวิธีที่ใช้จัดการปัญหา
ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าพลังนี้ไม่ใช่การทำลายล้าง พวกเขาเพียงต้องการยืนตัวตรง หายใจเต็มปอด ตะโกนสุดเสียง มองเห็นอนาคตตัวเองในสังคมและระบอบการปกครองที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ทุกฝ่ายตกลงและยอมรับร่วมกันว่าเราเป็นประชาธิปไตย ก็เพียงทำให้เป็นจริง อย่าปลอม อย่าหลอกกัน อยู่ร่วมกันได้อย่างถูกที่ถูกทาง
ที่ทางของเด็กไม่ใช่คุก ขังไว้ก็ใช้เวลาไม่ใช่น้อยแล้ว ปล่อยเด็กออกมาเถอะครับ16 ตุลาคม 2563 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 06.30 น. ไขกุญแจเปิดเรือนนอน
“อาครับ ตอนดึกนักศึกษาเข้ามาอีกเกือบ 20 คน นอนห้องเดียวกับไผ่” ผู้ต้องขังผู้ช่วยเจ้าหน้าที่กระซิบบอก
ผมออกจากห้อง 7 แดน 2 เดินไปยืนหน้าห้อง 5 ที่อยู่ติดกัน ไผ่ ดาวดิน ซึ่งเข้ามาตั้งแต่คืนวันที่ 14 ยืนยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ในนั้น ใกล้กันมีผู้ต้องขังนอนบ้างนั่งบ้างเรียงรายเต็มห้อง
“มาอีกกี่คนวะ ?”ผมเปิด
“17 พี่ เอาเข้ามาหมดเลย ไอ้นี่ยังเอามา โคตรมั่วเลย” ไผ่ว่าพร้อมชี้มือไปที่”หัวหน้าเบน”ซึ่งมีลักษณะพิเศษ
“มีใครเคยติดคุกบ้าง ?”
“ไม่ครับ มีแต่ผมคนเดียว”
“งั้นเอ็งต้องดูแลเพื่อนนะ พี่ต้องลงไปก่อน สายๆค่อยคุยกัน”
จบปุจฉา วิสัชนา วาระคนคุกที่ตรงนั้น
ผู้ต้องขังมีวงเงินซื้อของร้านค้าได้ 300 บาท/วัน การดูแลเด็กหนุ่มวัยกำลังกินเกือบ 20 คนจะเป็นไปได้อย่างไร
ผมเรียกน้องๆใกล้ชิด 2 คนมาขอใช้เงินในบัญชีพวกเขาร่วมด้วย ซื้อขนม นม เนย บะหมี่ ปลากระป๋องและข้าวของจำเป็นได้ 3 ตะกร้าใหญ่ ผมแบกนำหน้า ที่เหลือแบกตามกันไปห้อง 5 รวมดาราดาวดิน
“เอ้าน้องๆ มีอาหารมาส่ง แบ่งกันตามที่มีก่อน ช่วงโควิดคนใหม่ต้องกักตัว 14 วัน พี่มา 4 เดือนแล้วอยู่ข้างล่างได้ ใครอยากได้อะไรบอกเด็กที่ขึ้นมาทำงานนะเดี๋ยวพี่จัดการให้” ผมบอกพลางส่งของให้พร้อมกับการยกมือไหว้และคำทักทายจากเหล่าเด็กหนุ่มรวมถึงแอมมี่ ไดโน่ นันทพงษ์ และนักสู้เสื้อแดงที่ติดมาด้วย 2 – 3 คน
“ณัฐวุฒิ เขาจะปล่อยเมื่อไหร่ ให้ผมออกไปนะ ให้ประกันมั้ย ช่วยผมด้วยนะณัฐวุฒิ นะ นะ …” หัวหน้าเบนเริ่มโชว์ฟอร์ม พูดแนวนี้เป็นระยะตลอดการสนทนาระหว่างผมกับคนอื่นๆ
ผมทำหน้าที่ฝ่ายเสบียงและบริการทั่วไป บอกคนข้างนอกสั่งอาหารร้านของเรือนจำ ไก่ย่าง เป็ดพะโล้ ปลาทอด ฯลฯ น้ำอัดลมเย็นๆและกำลังใจ ได้พูดคุยกันก็ช่วงสั้นๆ
วันหนึ่งทั้งคณะลงมาวิดิโอคอนเฟอร์เรนซ์ฝากขัง ระหว่างพวกเขานั่งรอในโรงเลี้ยงผมเข้าไปยืนคุยด้วย บอกว่าความเข้มแข็งของคนข้างในคือเกียรติยศศักดิ์ศรีของคนข้างนอก และย้ำว่า”พวกคุณคือนักสู้ไม่ใช่นักโทษ”
ค่ำวันถัดมาพวกเขาได้ประกันแต่ไผ่ต้องอยู่ต่อ แอมมี่เดินมาเรียกผมที่ห้อง 7 ร่ำลากันผ่านลูกกรง “ออกไปอย่างทรนงองอาจนะน้อง” ผมบอกเขา
สักพักได้ยินเสียงบทกวีของพี่วิสา คัญทัพ ดังขึ้นกลางวิกาลในที่คุมขัง เพื่อนร่วมห้องผมคนหนึ่งลุกขึ้นยืนดูแล้วบอกว่า “มาดูสิ เด็กยืนแถวท่องกลอนกันข้างล่าง”
ผมไม่ได้ไปดูแต่นอนอมยิ้มอยู่ตรงนั้น ฟังบทกวีจนจบคำสุดท้าย รำพึงกับใจตัวเองว่า ‘ร้ายจริงๆ ไอ้พวกนี้’
ผ่านมาแล้ว 1 ปี ….
ไผ่กับไดโน่กลับเข้าคุก อานนท์ เพนกวิน ไมค์ และอีกหลายคนรวมทั้ง เบนจา ก็ยังอยู่ในคุก ทัศนคติและวิธีการต่อเยาวชนไม่เปลี่ยนแปลง ความแข็งกร้าวรุนแรงจากรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
น่าตกใจที่สถานการณ์อันแหลมคมจากพลังคนหนุ่มสาวเมื่อปีที่แล้วไม่ทำให้ผู้มีอำนาจฉุกคิด ไม่พยายามรับฟังและทำความเข้าใจ ไม่แม้กระทั่งจะรับรู้ว่านี่คือสรรพเสียงแห่งยุคสมัย
เด็กที่โตตามกันมาส่วนใหญ่แนวคิดไปทางเดียวกันและไม่มีทางที่กระบวนการมัดย้อมความคิดแบบเดิมจะจัดการได้ การใช้อำนาจไม่ใช่การแก้ปัญหา ลองคุยกับลูกหลานตัวเองฟังความคิดพวกเขาดู จะเข้าใจสิ่งที่ผมอธิบาย
นายกฯคิดแต่เรื่องอยู่ต่อ ไม่รู้สึกรู้สาว่าเราจะอยู่กันอย่างไรในอีก 5 หรือ 10 ปีภายใต้พลวัตของความเปลี่ยนแปลงที่รัฐใช้ทุกอำนาจกดทับไว้ เรามาถูกทางจริงหรือ
เด็กติดคุกซ้ำๆเพราะออกมาสู้ ที่ถูกดำเนินคดีก็เพิ่มขึ้นทุกวัน 1 ปีผ่านไปผิดที่เด็กหรือผิดที่ผู้ใหญ่กับวิธีที่ใช้จัดการปัญหา
ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าพลังนี้ไม่ใช่การทำลายล้าง พวกเขาเพียงต้องการยืนตัวตรง หายใจเต็มปอด ตะโกนสุดเสียง มองเห็นอนาคตตัวเองในสังคมและระบอบการปกครองที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ทุกฝ่ายตกลงและยอมรับร่วมกันว่าเราเป็นประชาธิปไตย ก็เพียงทำให้เป็นจริง อย่าปลอม อย่าหลอกกัน อยู่ร่วมกันได้อย่างถูกที่ถูกทาง
ที่ทางของเด็กไม่ใช่คุก ขังไว้ก็ใช้เวลาไม่ใช่น้อยแล้ว ปล่อยเด็กออกมาเถอะครับ