พิธา มั่นใจ ก้าวไกลกวาดพื้นที่ภาคอีสานได้ วางแผนแก้ปัญหาน้ำท่วม-ภัยแล้ง-เกษตร-หนี้สิน เผย ไม่หวั่นสู้เพื่อไทย

‘พิธา’ มั่นใจ ‘ก้าวไกล’ กวาดพื้นที่ภาคอีสานได้ วางแผนแก้ปัญหาน้ำท่วม-ภัยแล้ง-เกษตร-หนี้สิน เผย ไม่หวั่นสู้เพื่อไทย ชี้ แข่งกันที่นโยบายปชช.ได้ประโยชน์

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 ต.ค. ที่ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ (KICE) จ.ขอนแก่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2564 ว่า วันนี้เป็นการประชุมของพรรคก้าวไกล ที่ผ่านมาห่างเหินกันไปนานเนื่องจากวิกฤตโควิด-19 การเดินทางที่ยากลำบาก ทำให้ไม่มีโอกาสได้ประชุมกัน ไม่ได้จัดทัพเพื่อเตรียมต่อสู้ในปีที่จะถึง

ทั้งนี้ การมาภาคอีสานต้องการมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ซึ่งได้เห็นช่วงที่ชาวนากำลังลำบาก ทั้งเรื่องราคาพืชผลการเกษตร ทั้งยังเผชิญกับภาวะน้ำท่วมซ้ำซาก แต่พื้นที่อีสานยังคงแล้งต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับอีสานมานาน ตนในฐานะพรรคก้าวไกลอยากจะอยู่ใกล้ๆ เขาเพื่อแก้ปัญหาในเบื้องต้นในการเปิดสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ขณะเดียวกันก็ต้องการมาเห็นกับตาเพื่อนำข้อมูลไปจัดทำนโยบายในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทั้งนี้ หากแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดิน เรื่องน้ำ ให้คนอีสานได้ เชื่อว่าจะสามารถชนะใจคนอีสานได้

เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะได้ ส.ส.เขตในพื้นที่อีสานเพิ่มขึ้น นายพิธา กล่าวว่า ในใจก็มีคำตอบอยู่ เราสามารถคิดกันด้วยสมอง ดูจากเขตยุทธศาสตร์ได้ว่าผลการเลือกตั้งปี 2562 เป็นอย่างไร แต่ละพื้นที่มีวาระอะไร เช่น การถูกเอาเปรียบในเรื่องของที่ดิน การสร้างเขื่อน ทั้งหมดนี้หากใช้หัวคิดก็สามารถคิดได้ และจะให้บอกตัวเลขก็ทำได้ ทั้งนี้ตนคิดว่าหากสู้กันด้วยใจ ทุกเขตสำคัญหมด ไม่อย่างนั้นคนทำงานจะเสียกำลังใจ ดังนั้น 116 เขตที่อยู่ในภาคอีสานตนตั้งใจจะไปให้ครบทุกเขต ไม่ว่าจะเป็นเขตยุทธศาสตร์หรือไม่

เมื่อถามว่าในพื้นที่ขอนแก่นเคยได้ ส.ส.ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ แต่กลับเป็นงูเห่า จะมีการปรับยุทธศาสตร์ในการเลือกผู้สมัครอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า สาเหตุที่มาจัดประชุมที่ขอนแก่น นอกจากจะไม่ใช่พื้นที่สีแดงเข้ม รวมทั้งมีความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่อีกทางคือเป็นสัญลักษณ์ในเชิงมาเปิดประตูสู่ภาคอีสาน

ซึ่งตั้งใจจะมาที่เขตเลือกตั้งที่ 1 เพื่อมาทวงคืน ส.ส.ในเขตนี้ ตนเลือกนายวีรนันท์ ฮวดศรี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น เขต 1 ทนายความสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้พิสูจน์ตัวเองมาหลายสิบปี เมื่อมาอยู่กับพรรคก็ผ่านการสัมภาษณ์ไม่น้อยกว่า 7-8 คน รวมถึงตนด้วย ซึ่งมีกระบวนการคัดสรร กระบวนการพัฒนาเพื่อที่จะมั่นใจว่าคนที่มาเป็นตัวแทนในการทวงคืนพื้นที่ ที่อดีตพรรคอนาคตใหม่เคยทำไว้ ซึ่งเราขอเรียกความไว้วางใจ ความมั่นใจจากคนขอนแก่น เขต 1 จำนวน 1.85 แสนคนทั่วจังหวัดที่เคยให้พรรคอนาคตใหม่มาให้พรรคก้าวไกล เพื่อทำงานในอีสานระยะยาวและตรงไปตรงมาเช่นเดิม

เมื่อถามว่าในพื้นที่อีสานมีจังหวัดใดที่คาดหวังว่าจะได้ ส.ส.บ้าง หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในใจคาดหวังทุกเขต ทุกจังหวัด ซึ่งเราตั้งใจทำงานเท่ากันหมด แต่ถ้าหากจะให้ดูว่าเขตไหนจะชนะ ตนคิดว่าทุกคนก็รู้ ดูได้จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ว่าเขตไหนแพ้การเลือกตั้งไม่กี่พันคะแนน เขตไหนแพ้แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสามารถจะบอกได้ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยในการทำงาน เราตั้งใจที่จะสู้ทุกเขตทุกจังหวัดในภาคอีสาน

เมื่อถามว่าหนักใจหรือไม่ในการสู้กับพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน นายพิธา กล่าวว่า ไม่หนักใจ ในระบอบประชาธิปไตย การแข่งขันเป็นเรื่องดี คนที่จะได้ประโยชน์คือประชาชน ยิ่งมีการแข่งขันอยู่ใกล้ชิดประชาชน หานโยบายที่โดนใจประชาชน ใครแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งได้ดี รวมถึงปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกร ตนคิดว่าจะเป็นทางเลือก และเป็นการแข่งขันในเชิงนโยบายประชาชนจะได้ประโยชน์

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ย้ำว่าจะไม่มีการยุบสภา แต่กลับเห็นสัญญาณการลงพื้นที่ของพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่าคนเราเวลาอะไรที่ทิ่มแทงใจก็จะพูดออกมาในลักษณะที่อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือเป็นข่าวลวง หรือตั้งใจที่จะส่งสัญญาณตรงกันข้าม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอด และคนนี้ไม่ใช่หรือที่บอกว่าจะไม่ทำรัฐประหาร ตนคิดว่าใครจะพูดว่าอะไรพรรคไหนจะทำอะไรเป็นเรื่องของเขา แต่พรรคก้าวไกลต้องการเตรียมตัวให้พร้อมในทุกเวลา ในทุกมิติ ทุกสนาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้ และเราควรทำมาตั้งนานแล้ว

เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกลจะมีการส่งผู้สมัครผู้ว่า กทม.หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า มี ครั้งที่แล้วได้มีการพูดกันเรียบร้อยแล้วว่าในเรื่องของผู้ว่ากทม.จะต้องมีความพร้อม มี ส.ก. และมีว่าที่ผู้สมัครหลายคนที่ได้ทำงานไปเรื่อยๆ แต่ในส่วนของผู้ว่า กทม.จะต้องรอจังหวะที่เหมาะสมในการที่จะเปิดออกมาในจังหวะที่ไม่ช้ำ ดังนั้น จึงเริ่มขยับในการทำงานในเรื่องนี้

เมื่อถามถึงการทำไพรมารีโหวต 400 เขตจะเป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องพูดคุยกันก่อน โดยมีเลขาธิการพรรคเป็นผู้อำนวยการ รวมถึงมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่จะทำงาน ส่วนเรื่องระบบบัตรเลือกตั้งที่จะเปลี่ยนเป็น 2 ใบนั้น ไม่ว่าระบบไหนก็ต้องพร้อมสู้ เมื่อเป็นพรรคการเมือง เราต้องปรับยุทธศาสตร์การทำงานให้ใกล้ชิดกับประชาชนให้มากขึ้น

ดังนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลใจแต่อย่างใด สักวันหนึ่งเราจะต้องเป็นพรรคขนาดใหญ่ วันนี้เราอาจจะเป็นพรรคขนาดกลาง แต่เรามีความฝันว่าสักวันหนึ่งจะเป็นพรรคขนาดใหญ่ ดังนั้นกติกาไหนที่คิดว่าจะได้ประโยชน์กับเขาในตอนนั้น อาจจะเป็นประโยชน์กับเราก็ได้

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอแก้ไขมาตรา 34 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อที่จะเปิดทางให้พรรคการเมืองเข้าไปช่วยเลือกตั้งท้องถิ่นได้นั้น นายพิธา กล่าวว่า ตนยังไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าการทำงานท้องถิ่นกับการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติต้องทำไปควบคู่กัน ต้องมีการกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณ แต่ถึงขั้นว่าจะต้องลงไปช่วยหาเสียง จะต้องมีการหารือกันก่อน