เผยแพร่ |
---|
คนเดือนตุลา “หมอมิ้ง-ภูมิธรรม” ย้อนอดีตโศกนาฏกรรมรัฐทำต่อประชาชนรอวันสะสาง วอนรัฐเรียนรู้อดีตหยุดกระทำรุนแรงกับประชาชน
วันที่ 6 ตุลาคม 2564 นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อดีตนักศึกษาที่ร่วมเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนในแอปพลิเคชันคลับเฮาส์หัวข้อ “เรื่องเล่าเดือนตุลา ในสายตาภูมิธรรม เวชยชัยและจ่านิว สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ โดยกล่าวว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม ปี 2519 คืออาชญากรรมที่รัฐกระทำกับประชาชนซึ่งถือเป็นพลังอันบริสุทธ์ เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นบาดแผลที่คนเดือนตุลาไม่ได้รับการเยียวยาและคลี่คลาย
แต่ยืนยันว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น ประชาชน นักศึกษา แรงงาน และชาวนา มีเจตนาอันบริสุทธิ์ เพียงแค่อยากมีชีวิตที่ดี อยากเห็นประเทศดีขึ้น มีประชาธิปไตย ไม่ใช่คนทำลายบ้านเมือง ไม่แตกต่างจากการชุมนุมเรียกร้องในปัจจุบัน จึงอยากให้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือนักศึกษา และประชาชนต้องเรียนรู้ จากเหตุการณ์นี้ให้ครบทุกมิติ ควรเก็บเกี่ยว ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้รัฐก่ออาชญากรรมกับประชาชนที่ต้องการสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นอีก
นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตนักศึกษาที่ร่วมเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กล่าวเสริมว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษาและประชาชนในตอนนั้นคือต้องการรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ต้องการเป็นกบฎ แต่รัฐกลับกระทำการตอบสนองที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ และทิ้งให้คนยุคนี้มีคำถามเกี่ยวกับความรุนแรงค้างคาอยู่ เป็นประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้ชำระ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมา 45 ปี ยังคงเห็นคนรุ่นใหม่ทำงานเพื่อต่อสู้ยืนหยัด สิ่งเหล่านี้ทำให้สบายใจว่า เลือดเนื้อที่สูญเสียไปในเหตุการณ์ 6 ตุลา ไม่ได้หายไปไหน แค่ลืมไม่ได้ จำไม่ลง
นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักกิจกรรม กล่าวว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้วพบว่ารัฐยังคงกระทำแบบเดิม เช่น ความพยายามสร้างชุดข้อมูลบางอย่างขึ้นมาเป็นยากล่อมประสาท หรือ Propaganda แก่ประชาชน ไม่ต่างจากยุคตุลาที่ใช้วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเป็นเครื่องมือ แต่ผมเชื่อว่า รัฐจะใช้วาทกรรมสร้างความรุนแรงใส่ร้ายประชาชนที่ออกมาต่อสู้อีกไม่ได้ เพราะเราเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีต วันนี้เพียงแค่เราแค่ชูป้าย เราไม่ได้ทำร้ายใคร รัฐก็สั่นคลอนแล้ว
นอกจากนี้ กลุ่มแคร์ คิด เคลื่อน ไทย ได้โพสต์เรื่องราวในอดีตของสมาชิกร่วมจัดตั้งกลุ่มแคร์ ทั้งของนพ.พรหมินทร์และภูมิธรรม ที่กินเวลาในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนถึง 6 ตุลาคม 2519 ที่ถือได้เป็นยุคของขบวนการนักศึกษาและการเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงของสังคมขนานใหญ่หลังระบอบเผด็จการทหารสิ้นสุด ตั้งแต่เริ่มต้นจนสูญสลายหลังการสังหารหมู่ในมหาวิทยาลัย
โดยในส่วนของภูมิธรรม หรือที่เรียกกันในช่วงอยู่ป่าในชื่อ “สหายใหญ่” ได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองว่า
ช่วง 14 ตุลาคม 2516 ตอนนั้นผมทำกิจกรรมอยู่กับกลุ่มอิสระ กลุ่มอิสระประกอบด้วยกลุ่มโซตัสใหม่จุฬา ของธรรมศาสตร็ก็มี เศรษฐธรรม เสือเหลือง นิติศึกษา สภาหน้าโดม มีกลุ่มผู้หญิง เกษตรฯ เป็นกลุ่มต่อต้านโซตัส คือต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นคนที่มีพื้นฐานที่ไม่ชอบระบบที่กดขี่แบบนี้มาตั้งแต่อยู่มัธยมแล้ว
ตอนนั้นก็มีกลุ่มสโมสรนักศึกษากลุ่มนี้เป็นกลุ่มแบบทางการ แล้วก็มีกลุ่มอิสระเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้จัดตั้งกันเป็นทางการ พวกเสกสรรค์ เขาก็เป็นกลุ่มอิสระ ธีรยุทธ์อยู่กลุ่มสโมสรนักศึกษา ก่อน 14 ตุลาก็มีการเคลื่อนไหวหลายเรื่อง ธีรยุทธ์เขาก็นำ แล้วการเคลื่อนไหวก็สอดรับกับสถานการณ์ ธีรยุทธ์เขาเริ่มเรื่องผ้าดิบต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น ส่วนกลุ่มอิสระก็จะทำกิจกรรมเป็นคู่ขนานกัน
14 ตุลา 2516 กลุ่มอิสระตอนนั้นธรรมศาสตร์เป็นตัวนำเริ่มกันที่ ธรรมศาสตร์เขาใช้วิธีเอาปูนปาสเตอร์อุดรูกุญแจ ชักธงดำขึ้นที่ตึกโดม แล้วก็ปิดห้องไม่ให้นักศึกษาสอบ
วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ก็ใช้วิธีต่างคนต่างไปหาคนมาไปร่วมม็อบด้วยกัน ผมกับสุรชาติ (ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข)จำได้ไปปลุกเริ่มม็อบที่เสาธงจุฬาฯ มีโต๊ะตัวหนึ่ง ถือโทรโข่ง แล้วก็เดินตามคณะเลย
ตอนนั้นเขากำลังเรียนอยู่ อาจารย์ที่เข้าใจเราตอนนั้นเขาก็ปล่อย ส่วนอาจารย์ไม่เข้าใจเราเขาก็ไล่เราด่าเราตามหลังเลย ในคณะรัฐศาสตร์เดินตามห้องเรียนเลย รัฐศาสตร์ส่วนใหญ่ลิเบอรัลหมดพวกนี้ก็จะปล่อย แต่ที่โดนโห่หนักสุดตอนนั้นคือคณะบัญชี
จนตอนนั้นจำได้ว่า ได้คนมาร่วมประมาณ 400-500 คน แล้วพากันเดินต่อออกสยามสแควร์ ตอนนั้นมันเป็นธรรมเนียมธรรมศาสตร์เขาเดินมาชวนเราก่อน เราก็พากันเดินไปหาเขา เกษตรศาสตร์ฮือฮาที่สุดเพราะเดินไกลกว่าเพื่อน คือเดินจากบางเขน
เรื่องเรียกร้องส่วนสำคัญหลักๆ ตอนนั้น คือความยุติธรรม ความชอบธรรม เรื่องประชาธิปไตยกับเผด็จการ เรื่องอำนาจตุลาการที่ถูกแทรกแซงจากอำนาจบริหาร ตอนนั้นตัวผู้ร้ายคือ รัฐบาลผู้ผูกขาดอำนาจ เรื่องใช้อำนาจไล่นักศึกษาออก
แล้วก็เรื่องที่ ณรงค์ กิตติขจร ใช้ฮอลิคอปเตอร์หลวงไปเสพสุข แล้วนักศึกษาก็โตมาจากกิจกรรมทางสังคมเป็นหลักก็รวมตัวก่อขบวนกันขึ้นมา แล้วก็สั่งสมมาจากการครองอำนาจของถนอม ประภาส ณรงค์ ซึ่งครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2506
ตอนนั้นเหตุการณ์ 14 ตุลา ผมอยู่ในกลุ่มประเมินสถานการณ์และติดตามข่าว เป็นฝ่ายข่าว เรามีศูนย์บัญชาการข่าวอยู่ที่ตึกโดมและตัวแทนกลุ่มอิสระของแต่ละมหาวิทยาลัย ดูม็อบประเมินม็อบ ตอนนั้นข่าวก็มั่วนะ ไม่รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ข่าวก็สับสน เดี๋ยวก็มีข่าวว่า “จะปราบๆ ปราบแน่นอนๆ” อะไรประมาณนี้
วิธีเช็คข่าวตอนนั้นก็แค่ ดูสถานการณ์ ฟังคนพูดต่อ ๆ กัน ฟังวิทยุ หนังสือพิมพ์อะไรพวกนี้ หนังสือพิมพ์ดาวสยามเป็นตัวสำคัญที่ต้องดูเป็นหลัก เพราะเขาอยู่ฝ่ายตรงข้าม ถ้าออกข่าวมาแล้วเราจะถูกกระทืบไหมเดี๋ยวก็รู้ เหมือนสมัยนี้ ถ้าเราอยากรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคิดอะไร กำลังจะทำอะไร แต่ว่าตอน 6 ตุลาคม 2516 เขาใช้ประกาศออกวิทยุยานเกราะเลย
ตอน 6 ตุลา ผมก็อยู่ในทีมประเมินข่าวประเมินสถานการณ์เหมือนตอน 14 ตุลา ตอนนั้นมี 2 ฉบับคือ “บางกอกโพสต์” กับ “ดาวสยาม” อยู่ ๆ หนังสือพิมพ์ฉบับบ่ายของดาวสยาม เขาก็เอารูปที่แสดงการแขวนคอมาขึ้นเลย
จริง ๆ เป็นรูปของอภินันท์ บัวหภักดี กับ วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ สองคนนี้แสดงเพราะเขาตัวเล็กแล้วอยู่ชมรมละครของธรรมศาสตร์ แล้วต้องการแสดงให้เห็นความโหดร้ายที่มีการจับช่างไฟฟ้า 2 คน แล้วไปพบว่าถูกจับแขวนคอที่จังหวัดนครปฐม เขาก็แสดงที่ลานโพธิ์ พวกนั้นก็แต่งภาพแล้วเอามาลงหน้าหนึ่ง
ตอนนั้นช่วง 5-6 โมงเย็น พวกเราเห็นข่าวก็ตกใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะสั่งการว่าจะเลิกหรือไม่เลิกชุมนุม ตอนนั้นบนตึก อมธ. ก็ประชุมกันอยู่ ตัวแทนจากทุกมหาวิทยาลัยก็นั่งคุยกัน คือไม่ได้บอกเลิกชุมนุมกันง่ายๆ
วิทยุยานเกราะ ก็ปลุกให้ฆ่าเลย อ้างว่า นศ.เอาบุคคลชั้นสูงมาแขวนคอแบบนี้ต้องฆ่าเลย ตอนนั้นพวกเราก็นั่งดู มีทั้งฝ่ายที่อยากให้สลาย กับฝ่ายที่ไม่อยากให้สลาย
แต่สุดท้ายก็คุยกันว่าจะสลายกันในเช้าวันที่ 6 ตุลาอยู่แล้ว เพราะคิดกันว่า สลายกันตอนดึกวันที่ 5 ตุลา ก็จะอันตราย เพราะก็เริ่มมีก่อม็อบรอบสนามหลวงกันแล้ว ตอนนั้นก็คิดว่ารอสว่างรอรถเมล์มีแล้วก็จะสลายกัน
ยังไม่ทันจะสว่าง ตี 3 ก็มีการยิงใส่พวกเราแล้ว M79 ลูกแรกยิงลงกลางม็อบเลย แล้วตอนตี 4 ตี 5 ก็ยิงเข้ามา พวกนั้นเขาปีนขึ้นไปที่ตึกพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ แล้วส่องลงมา การ์ดที่อยู่ที่คณะนิติศาสตร์ ตรงนั้นมีกระสอบทรายกันไว้อยู่ การ์ดพวกเราส่วนใหญ่ก็เป็นพวกอาชีวะ กับ รามคำแหง แล้วเขาอยู่ที่สูงส่องยิงรายคนเลย วิทยา แก้วภราดัย สส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกยิงที่ขาตรงจุดนี้
ถามว่าแล้วผมหนีออกมาได้อย่างไร คือผมลงมาดูม็อบ ตอนนั้นยังอยู่ที่ตึก อมธ. เสร็จแล้วรัฐบาลขอให้พวกเราส่งตัวแทนไปเจอ ตอนแรกเขาจะให้ผมไป คือตอนนั้นผมไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้ว ตอนนั้นเรียนปริญญาโทแล้ว แต่ก็ยังมาช่วยเป็นแกนนำให้น้อง ๆ ผมเลยบอกให้สุธรรม กับ สุรชาติไป แต่สุดท้าย 2 คนก็โดนจับ
สถานการณ์ตอนนั้นเราก็ลงไปดูที่เวที เจอธงชัย (ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกุล) อยู่ที่เวทีกับ “หง่าว” น้องชาย และ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พวกนี้คือกลุ่มเด็กยุวชนสยาม แล้วก็เป็นแนวร่วมธรรมศาสตร์ ถ้าผมจำไม่ผิดตอนนั้นเขาน่าจะเรียนอยู่ปี 1 ผมก็บอกว่าเดี๋ยวจะต้องทิ้งเวทีแล้ว ผมก็เดินมาข้างหลังมาเจอกับ ชูศิลป์ วนา เขาอยู่รามคำแหงเป็นกลุ่มอิสระด้วยกัน เลือดเต็มหน้าไปหมด
ผมเจอชูศิลป์ที่เก๋งจีนตรงแถวๆ คณะเศรษฐศาสตร์ริมน้ำเจ้าพระยา เขาบอกว่า “มันยิงหมด ข้างหน้าการ์ดตายเกือบหมด” ตอนนั้นพวกข้างนอกบุกเข้ามา เขาก็ไม่รู้จะทำไง มันจวนตัวมาก เลยตัดสินใจเอาเลือดจากท้องของอีกคนที่โดนยิงตายข้าง ๆ มาป้ายหน้าตัวเองแล้วก็แกล้งนอนตาย พอเขาเลยไปหมด ก็ลุกขึ้นได้ก็รีบหลบออกทางนิติศาสตร์
ตอนผมลงมาจากตึก ผมก็มาเจอ จี้ด สุธีรา ผมก็บอกว่า “ให้ผู้หญิงกับเด็กออกก่อน” ตรงท่าพระจันทร์เพื่อความปลอดภัย ตอนนั้นเหลือแต่พวกเรา มารู้ทีหลังว่า จี้ด กับ ยูน ก็โดนจับเขาก็หิ้วขึ้นรถไปเลยเป็น 1 ใน 18 ด้วย แล้วผมก็ออกมาเจอชูศิลป์สักเกือบ 9 โมง เจอพรหมินทร์ เจอเทียนชัยอีกคน
สถานการณ์ตอนนั้นมันไม่ไหวแล้ว เราช่วยกันพาแกนนำทั้งหมดหลบออกไปก่อน ตอนนั้นถ้าพวกข้างนอกเจอพวกเราคงจะถูกฆ่าแน่นอน กระทิงแดงเห็นหน้าแกนนำก็จำได้ทุกคน ถ้าเป็นคนร่วมชุมนุมทั่วไปก็คงถูกจับ ตอนนั้นเขายิงบาซูก้า M79 เสียงดัง ตู๊ม ตู๊ม…!! เหมือนกับอยู่ในสนามรบ
พอตอนสายๆ ผมไม่รู้จะทำอย่างไร เพื่อนๆ บอกว่า
“ทำอย่างไรก็ได้ให้หลุดออกไปให้ได้ แล้วไปเจอกันข้างนอก”
ผมเลยตัดสินใจกระโดดลงท่าน้ำจะว่ายน้ำข้ามเจ้าพระยา ว่ายไปได้ซักพักไม่ถึงครึ่งทาง “เขาอยู่บนเรือยิงใส่ ผมหันหลังกลับเข้าฝั่งมาทันทีเลย” ยิงรัวแบบ ปักๆๆ คือเราก็ไม่รู้หรอก ว่าเขายิงเราหรือเปล่า แต่ขอหนีก่อน แล้วก็หนีมาขึ้นตรงท่าพระจันทร์ ซึ่งตรงนั้นมีร้านข้าวแกงร้านจั้ว ร้านนี้คือร้านนักกิจกรรมเสร็จงาน 4 ทุ่ม 5 ทุ่มก็ออกมากินข้าว
เราบอกเราต้องออกให้ได้ ตอนนั้นถ้าพวกเขาเห็นหน้าพวกเราต้องถูกกระทืบตายตรงนั้นแน่ๆ คิดอย่างเดียวว่า “ถ้าเราหนีเราอาจจะมีสิทธิรอด”
ผมก็ค่อยๆ หลบเดินไปจนถึงท่ามหาราช พอถึงท่ามหาราชข้างนอกมันออกไม่ได้ เห็นเขาจับคนกันเต็มไปหมด ผมตัดสินใจโดดลงเรือแท็กซี่ เป็นเรือเล็กขนาด 10 คน เป็นเรือที่พาฝรั่งเที่ยววัด มีคนโดดลงมากับผมเกือบ 10 คนได้ ผมบอกลุงคนขับไปส่งฝั่งตรงข้ามหน่อย ตอนนั้นคิดว่าถ้าข้ามแม่น้ำได้เรารอดแน่
ตอนเรือกำลังขับข้ามไป เจ้าท่าหรือทหารเรือเรียกให้จอด เราก็บอก
“ลุงอย่าจอดนะ ถ้าจอดพวกเราตายหมดแน่”
ลุงคนขับก็ฝืนขับไปส่งจนถึงวังหลัง ตอนนั้นเสียงปืนก็ดังตามมาติดๆ เขายิงใส่หรือเปล่าไม่รู้ แต่ทุกคนก็พากันโดดลงท่าวังหลังหมด ตอนนั้นวิ่งเข้าไปในศิริราช คิดว่าจะขอให้หมอช่วยพาเราหลบในศิริราช พอเข้ามา เห็นตำรวจตั้งแถว
ผมเลยตัดสินใจโดดขึ้นรถเมล์สาย 80 แทรกเข้าไปหมู่คนในรถก่อน ตอนนั้นถ้าในรถมีใครขวาจัด ผมโดนคงจับไปแล้วแน่ ๆ เราก็อยู่ในรถ รถวิ่งผ่านท่าน้ำศิริราช ผ่านสี่แยกพรานนก ผมก็โดดลงตรงนั้น เข้าตรอกซอกซอย คือแถวนั้นตรงนั้นซอกซอยมันเยอะ แล้วเราก็เด็กฝั่งธนฯ ก็พอจะรู้ทางบ้าง
ตอนนั้นผมแอบหนีไปนอนอยู่บ้านพลเรือโททหารคนหนึ่ง ภรรยาเขาเป็นเพื่อนกับแม่ผมแกรู้จักสนิทกับผมดี ผมก็เลยโดดเข้าบ้านแกขอไปหลบ ตอนนั้นข้างล่างเขาก็คุยกันเรื่องเหตุการณ์กัน ผมแอบอยู่ได้สองวันก็หนีออกจากบ้านไปเข้าป่า
ผมตัดสินใจเข้าป่าวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2519 หลังเหตุการณ์เพียงอาทิตย์หนึ่งได้ ผมนั่งรถเมล์จากซอยรางน้ำ ไปลงที่นางรอง บุรีรัมย์ ไปแบบไม่รู้จักใครเลยสองคน เขาก็ให้ถือหนังสือพิมพ์ไทยรัฐม้วนมือซ้าย กระเป๋าให้เหน็บปากกาบิ๊กสีฟ้าสีแดง ก็ต้องไปหาซื้อปากกา และก็ไม่รู้ใครเดินอยู่
รอจนกระทั่งมีคนมาทักทาย ถ้าเขาถามทางไปบุรีรัมย์ทางนี้ใช่มั้ย เราต้องตอบว่าไม่ใช่โคราชไปทางนี้ เป็นรหัส เหมือนหนังสายลับ
ผมไปใช้ชีวิตในป่า 4 ปีกว่าตอนหนีไปครั้งแรกต้องแยกกับภรรยา ผม ใช้เวลากว่า 2 ปี กว่าจดหมายฉบับแรกของเราจะส่งมาถึงกัน ตอนนั้นทำอะไรก็ไม่ได้ จำเป็นจะต้องแยกกัน ผมเคยไปรับเพื่อนคนหนึ่งคนหนึ่งเห็นลูกกับแม่เขากอดกันร้องไห้เหมือนใจจะขาด ไม่ให้ลูกไปก็ไม่ได้ อยู่ก็อันตราย จำใจต้องปล่อยลูกไป
ผมยืนดูตอนนั้นหดหู่มากเหมือนเราไปแยกของรักออกจากอกของเขา ตอนหลังออกจากป่าพ่อแม่เพื่อนผมหลายคนมาเล่าให้ฟังว่า สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนั้นเมื่อยามคิดถึงลูกคือ
“ขับรถออกจากกรุงเทพฯ แล้วไปยืนดูป่า ดูภูเขา คิดได้เพียงแค่ว่า ลูกเราคงอยู่ที่ไหนสักที่ในป่านี้”
ฟังแล้วโอ้โห้…!! มันสุดที่จะบรรยายจริง ๆ
ขณะที่เรื่องราวของนพ.พรหมินทร์ หรือสหายจรัส จากนักศึกษาแพทย์ที่ต้องเข้าป่าจับอาวุธแทนนั้น โพสต์ระบุว่า