สภาที่ 3 จัดเวที “ไทยทวงคืนอนาคต” ชี้ 3 ป.แตกคอแค่ละคร! เตือนพายุศก.รุนแรงใกล้มาถึง

สภาที่ 3-คกก.วีรชนพฤษภา 35 ชี้ 3 ป.แตกแยก แค่เล่นละคร เตือนพายุเศรษฐกิจตั้งเค้าในอีกไม่นาน ไทยสภาพย่ำแย่หนักท่ามกลางวิถีโลกเปลี่ยน

วันที่ 4 ตุลาคม 2564 ที่ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ราชดำเนิน สภาที่ 3 ร่วมกับ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จัดเวที “ไทยทวงคืนอนาคต หลังระบอบ 3 ป.”  โดยนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 กล่าวเปิดงานโดยยืนยันว่า ตั้งแต่ปี 2560 ที่สภาที่ 3 ตรวจสอบรัฐบาลและค้นพบว่ารัฐบาลนี้ทุจริตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งที่ก่อนและหลังยึดอำนาจปี 2557 จะอ้างว่าฝ่ายการเมืองสร้างปัญหา ทั้งใช้อำนาจในทางมิชอบและการทุจริต แต่รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและพรรคพวก ทำทุกอย่างที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองอย่างมากมาย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งพังพินาศและโอกาสจะฟื้นแทบไม่มี ถือเป้นเรื่องน่าอนาถมาก

นายอดุลย์ มองการเมืองที่ผ่านมาว่า พรรคฝ่ายค้านถือว่าทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรเต็มที่และทำได้ดี ส่วนกระแสข่าวที่เหมือนกับว่า ” 3 ป.” แตกแยกกันนั้น ส่วนตัวมองว่าคือละคร เพราะสุดท้ายจะไปรวมกันเหมือนเดิม แต่จากสภาพที่ประชาชนไม่ยอมรับและไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์แล้ว แม้มีการเลือกตั้งและอาจมีการตั้งพรรคการเมืองสำรองให้กับพลเอกประยุทธ์และคณะ แต่ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคนไทยตระหนักว่าระบอบ 3 ป. คือปัญหาของประเทศ แล้วประชาชนจะไม่ลืมความทุกข์ยากที่เกิดจากระบอบประยุทธ์

” ใครกล้าพูดได้ว่าอยู่สบายและมีความสุขภายใต้ระบอบประยุทธ์ หรือระบอบประยุทธ์ทำให้บ้านเมืองและสังคมที่ดีขึ้น”

นายอดุลย์ ย้ำด้วยว่า เวทีสภาที่ 3 และทวงคืนสมบัติชาติที่ผ่านมา ตรวจสอบพบข้อพิรุจและความผิดปกติทั้งสุ่มเสี่ยงว่าจะมีการทุจริต เอื้อประโยชน์พวกพ้อง ทั้ง ที่ดินเขากระโดง, ดาวเทียมไทยคม, พลังงาน และยังต้องจับตา โครงการจัดหาวิทยุสื่อสารข่ายบังคับบัญชากระทรวงมหาดไทย ในการจะซื้อวิทยุสื่อสาร หรือ ‘วอคกี้ทอคกี้’ วงเงิน 4,000 กว่าล้านบาท ซึ่งมีการเร่งรัดจัดซื้อและยังเป็นอุปกรณ์ล้าสมัย ประกอบกับมีกระแสข่าวว่า ข้าราชการผู้บริหารกระทรวงที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ เตรียมที่จะก่อตั้งพรรคการเมือง ไว้รอพลเอกประยุทธ์ด้วย จึงต้องตรวจสอบให้กระจ่างชัด

นายปรีดา เตียสุวรรณ์ นักธุรกิจเพื่อสังคม ระบุว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยพึ่งการท่องเที่ยวและการส่งออกมากไป เมื่อมีปัญหาโควิด-19 หรือเรื่องอื่น จึงได้รับผลกระหนัก หรือเป็นการพึ่งรายได้จากต่างชาติ จึงเห็นว่า ไทยต้องดำเนินแนวทางเศรษฐกิจที่พึ่งตัวเองได้ อย่างการกระตุ้นการบริโภคหรือใช้จ่ายภายในประเทศ แต่ต้องพึงคนมีความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ซึ่งไม่สามารถหาได้ในรัฐบาลประยุทธ์

นายปรีดา ย้ำว่า ไทยยังมีความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นเรื่อยๆรายได้ของประชาชนถูกแบ่งอย่างน่าอนาถ เพราะการผูกขาดเศรษฐกิจที่กลุ่มทุนไม่กี่คนรวบเอาความร่ำรวยไว้ในอุ้งมือ ทำให้กลุ่มคนชั้นกลางหายไป คนชั้นล่างเสียเปรียบ

ขณะที่ที่ดินในรัฐไทยมีราว 320 ล้านไร่ แต่คนไทย 75% ไม่มีที่ดินในครอบครอง ที่ดินส่วนใหญ่อยู่ใน 5 ตระกูลหรือ 5 ครอบครัวเท่านั้น กระทบกับความมั่นคงอาหาร ปละชาชนหรือเกษตรกรกลายเป็นผู้อาศัย หรือ ผลิตกึ่งหนึ่ง หรือ เช่าที่ดินทำการเกษตรนั่นเอง

ดังนั้น ประชาชนจะหวังคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีในรัฐบาลนี้ไม่ได้ ขณะที่รัฐไทยยังต้องเตรียมรับมือสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งสวัสดิการของรัฐยังไม่เพียงพอ ไม่ครอบคลุมและไม่ทั่วถึง

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า พายุเศรษฐกิจกำลังส่อเค้ารุนแรงใน 3-6 เดือนข้างหน้า โดยมองจากเศรษฐกิจระดับโลกที่ประเทศจีน ประสบปัญหาจากการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก และถ่านหินที่เป็นเชื้อเพลิงไม่เพียงพอ จึงต้องซื้อก๊าซจากชาติยุโรปเพื่อมาใช้ผลิตไฟฟ้า หลังจากจีนคว่ำบาตรประเทศออสเตรเลียที่ออกมาทวงถามความรับผิดชอบเกี่ยวกับต้นตอของ covid 19 จากทางการจีน ทำให้ราคาก๊าซสูงขึ้นและยังต้องรับมือกับฤดูหนาวที่ต้องการเชื้อเพลิงมาไฟฟ้าจำนวนมาก ทั้งในจีนและในยุโรป

ภาวะนี้ ประเทศจีนต้องเลือกว่าจะชะลออุตสาหกรรมหรือจะต้องทำให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้ เพราะบางเมืองสัญญาณไฟจราจรไม่ทำงางานแล้ว นอกจากนี้จีนยังมีปัญหาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ปล่อยให้มีการเก็งกำไร และมีนโยบาย ‘โควิดซีโร่’ หรือควบคุมการเคลื่อนย้ายคนเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการระบาด กระทบการท่องเที่ยว และเกิดปัญหาการขนส่งสินค้าด้วย

ขณะที่ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีสภาพคล้ายคนไข้ได้น้ำเกลือผสมมอร์ฟีน ทำให้ชินชาชั่วคราว แต่กระสุนหรืองบประมาณกำลังจะหมด การทุ่มเงินชดเชยโควิด-19 ล่าสด ได้เลิกเงินชดเชยประชาชนตัวเองแล้ว โดยสิ่งนี้กระทบกำลังซื้อและส่งผลต่อทั่วโลก

ที่สำคัญสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนหนี้เอกชนเทียบกับรายได้ประชาชาติ หรือ GDP ถึง 2.5 เท่า เพราะปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ จึงประคองภาระหนี้ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ในระยะยาว เพราะเมื่อดอกเบี้ยเริ่มสูงขึ้น ก็จะเกิดปัญหา

ส่วนประเทศไทยภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ สร้างหนี้มากกว่า 3-4 รัฐบาลรวมกัน ไทยจึงมีสภาพเหมือนเด็กกางเกงตูดขาดต้องกู้เงินปะเย็บทุกปี ขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังปรับเปลี่ยนในยุคสงครามการค้า ดังนั้นการใช้ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่อุปทานแบบเดิมไม่ได้เเล้ว ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์และนโยบายของรัฐบาล

โดยในยุค ‘รัฐบาลประยุทธ์’ เปรียบเทียบเห็นความแตกต่างชัดเจนกับยุค ‘รัฐบาลทักษิณ’ ที่พัฒนาและกระจายโอกาสทางการศึกษา มีนโยบายสวัสดิการพื้นฐาน รวมถึงยกระดับข้าราชการประจำ โดยใช้คนที่มีความสามารถและมีวิสัยทัศน์เข้ามาทำงานการเมือง ใช้ข้าราชการที่ถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุด มาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนงานในรัฐบาล แก้ไขปัญหาข้าราชการประจำล่าช้าและไม่ตอบสนองประชาชน