“ประยุทธ์” เล็งเตรียมมาตรการเสริมจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง บรรเทาค่าน้ำ-ค่าไฟ

โฆษกรัฐบาล ระบุ “ประยุทธ์” ติดตามสถานการณ์น้ำมัน เล็งเตรียมมาตรการเสริมจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง บรรเทาลด ค่าน้ำ-ค่าไฟ รองรับการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

วันที่ 3 ต.ค.2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์ราคาพลังงาน ที่มีแนวโน้มการใช้และราคาพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานทั่วโลกเพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่กลุ่มโอเปกควบคุมปริมาณการผลิต ทางกระทรวงพลังงาน จึงเตรียมพร้อมมาตรการรับมือ

นายธนกร กล่าวต่อว่า โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันรักษาเสถียรภาพ หากกรณีราคาน้ำมันดีเซลพื้นฐาน บี10 ซึ่งปัจจุบันราคาอยู่ที่ 28.29 บาทต่อลิตร ซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลบี7 ถึง 3 บาทต่อลิตร มีราคาสูงเกิน 30 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนผู้บริโภคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศ โดยแนวทางในการใช้มาตรการช่วยเหลือจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีหน้าที่ในการรักษาเสถียรภาพของระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้มีความผันผวนมากจนเกินไป โดยจะเข้าไปดูแลราคา

นายธนกร กล่าวอีกว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีบทบาทอย่างมากในการรักษาระดับราคาน้ำมันให้มีเสถียรภาพให้ไม่กระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้ช่วยเหลือราคาแอลพีจีโดยตรึงราคาขายปลีกสำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัม อยู่ที่ 318 บาทต่อถัง โดยไม่รวมค่าขนส่งตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.2563 โดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติให้คงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มข้างต้นออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.-31 ธ.ค. 2564

นายธนกร กล่าวว่า นอกจากนี้ รัฐบาลได้พิจารณาขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำ ค่าไฟ ตั้งแต่เดือนต.ค.2564-ก.ย.2565 โดย ครม.มีมติอนุมัติงบกลาง วงเงิน 2,018 ล้านบาท ครอบคลุม ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้า 1.9 ล้านครัวเรือน และน้ำประปาประมาณ 186,625 ครัวเรือน โดยนายกฯสั่งการให้กระทรวงพลังงานติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด โดยคำนึงถึงผลกระทบในทุกมิติ โดยรัฐบาลมีเจตนารมณ์สำคัญที่จะรักษาระดับราคาน้ำมันที่คนไทยในฐานะผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด เอื้อต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมและการผลิต ขณะเดียวกันต้องให้เป็นภาระต่อภาครัฐน้อยที่สุด