พิธา ชี้แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ต้องปลดล็อกการเมืองก่อน ฉะ ต้องไม่มีเสือนอนกิน-ช้างอุ้ยอ้าย-เอารัฐบาลทหารออกไปอยู่ใต้พลเรือน-ทลายทุนผูกขาด

เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2564 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า วันนี้ประเทศเกิดวิกฤตโควิด ธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่าจะกลับไปเติบโตได้เท่าก่อนโควิด ต้องใช้เวลาฟื้นฟูถึง 6 ปี เพราะเศรษฐกิจของเราพึ่งพาการท่องเที่ยวมาก และระดับเทคโนโลยีต่ำ ดังนั้น ต้องมีการพัฒนาโครงการพื้นฐานใน 4 ด้าน ได้แก่ 1.การพัฒนาคุณภาพปัจจัยการผลิต 2.การเข้าถึงตลาดและเพิ่มขนาดของตลาด 3.โครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่ทันสมัย และ 4.สถาบันเศรษฐกิจที่มีคุณภาพ

ถ้าหาก 4 ข้อนี้ไม่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยภายใน 1-2 ปีนี้ ประเทศไทยจะยังมีที่ยืนในเวทีโลกเหลืออยู่อีกหรือไม่ กว่าไทยจะฟื้นกลับไปเหมือนก่อนโควิด ประเทศคู่แข่งของไทยคงจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าเรามากแล้ว และในวันที่เราฟื้นฟูกลับไปถึงจุดเดิมก่อนโควิด การฟื้นฟูของเราจะเป็นการฟื้นฟูในรูปตัว K ที่มีความเหลื่อมล้ำมากกว่าเดิม

นายพิธา กล่าวต่อว่า ต่อให้ประเทศไทยต้องการจะสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคตขึ้นมาเป็น Unicorn แต่ประเทศมีเสือนอนกินหรือกลุ่มทุนผูกขาดที่ยังได้ประโยชน์อยู่จากการไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย และมีรัฐราชการรวมศูนย์ที่เหมือนเป็นช้างตัวใหญ่ที่อุ้ยอ้าย ล่าช้า กดทับและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศอยู่ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในทางเทคนิค จึงไม่สามารถแยกขาดจากการแก้ไขปัญหาทางการเมือง

นายพิธา กล่าวว่า ตนมีโอกาสพูดคุยกับ Michael Porter นักบริหารและนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการบริหารเชิงกลยุทธ์ โดยเป็นผู้พัฒนาทฤษฎีในเรื่องกลยุทธ์การแข่งขัน เขาบอกว่าไทยมีจุดแข็งพร้อมอยู่แล้ว แต่มันคือเรื่องเกี่ยวกับการเมือง กฎระเบียบและระบบราชการต่างๆ จะแก้ไขได้ต้องมีทั้งวิธีการเชิงเทคนิค เชิงการเมือง และเชิงระบบราชการที่ต้องแก้ไข

นายพิธา กล่าวอีกว่า ทั้งแนวคิดการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในทางเทคนิค และการปลดล็อกศักยภาพของประเทศทางเทคนิคได้ ต้องปลดล็อกทางการเมืองก่อน แต่ทั้ง 2 เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมีพรรคการเมืองที่มีเจตจำนงทางการเมืองที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง ต้องอาศัยการเมืองใหม่ที่ไม่ได้ยึดโยงจากโครงสร้างอำนาจแบบเดิมๆ เราต้องทลายทุนผูกขาด กระจายอำนาจ และเอาทหารออกไปจากการเมืองให้อยู่ใต้พลเรือนให้ได้ และตนเชื่อว่ามีประชาชนจำนวนมากที่พร้อมจะร่วมไปกับตน โดยเชื่อว่าประเทศไทยยังดีกว่านี้ได้อีกมาก