“แคร์” แถลงไม่เอาความรุนแรง หลังสลายเดือดแยกดินแดง ชี้คุยแบบคนกับคน ทางออกดีสุด

วันที่ 12 กันยายน 2564 กลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย ได้ออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมอย่างเข้มข้นบริเวณสามแยกดินแดง ซึ่งปรากฎภาพการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุแก๊ซและตำรวจคควบคุมฝูงชน ที่แสดงถึงปราบปรามขั้นรุนแรงและการตอบโต้เอาคืน จนส่งผลกระทบทั้ง 2 ฝ่ายรวมถึงประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมที่อาศัยในละแวกใกล้เคียงรวมถึงประชาชนที่สัญจรแต่ได้รับผลกระทบถูกลูกหลงจากการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำหลายครั้งเป็นเวลากว่า 1 เดือนว่า

เป็นเวลากว่า 1 เดือน สำหรับการสลายการชุมนุมที่บริเวณแยกดินแดง ซึ่งมีการปะทะกันของทั้ง 2 ฝ่าย มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่คือประชาชน และมีผู้ชุมนุม ถูกจับกุมรวมแล้วนับร้อยคน
.
เรา ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใด เราเชื่อว่า “การพูดคุย” ด้วยความเป็น “คนคุยกับคน” วางความเป็น “พณหัวเจ้าท่าน” ลง จะนำมาซึ่งทางออกที่ดีกว่าสำหรับทุกฝ่าย
.
เราไม่สามารถยอมรับ “การใช้ความรุนแรงอย่างถูกกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ” เราไม่สามารถยอมรับให้รัฐใช้ความรุนแรงด้วยวาทกรรมประดิษฐ์ “บังคับใช้กฎหมาย”
.
ประชาชนถูกดำเนินคดีทุกครั้งเมื่อทำผิดกฎหมาย แต่รัฐที่กระทำรุนแรงต่อประชาชนภายใต้วาทกรรมดังกล่าว แม้ส่งผลให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บล้มตาย ทรัพย์สินเสียหาย กลับไม่เคยต้องรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น
.
เหตุการณ์ “สลายการชุมนุม” ที่บริเวณแยกดินแดงเมื่อวานนี้ (11 กันยายน 2564) เป็นอีกครั้งที่รัฐกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ และไม่ใช่การกระทำที่คนพึงกระทำต่อคนด้วยกัน
.
หน่วยเคลื่อนที่เร็วของรัฐปฎิบัติการสลายการชุมนุม โดยบังคับสื่อมวลชนนั่งลงกับพื้น สั่งตรวจบัตรด้วยท่าทีราวกับสื่อมวลชนเป็นผู้ต้องหา สั่งสื่อหยุดรายงานสดทันที สั่งตรวจสอบอาสาพยาบาล คุมตัวไปกรมดุริยางค์ทหารบก ตามไล่ล่าผู้ชุมนุมที่หลบบริเวณแฟลต ตะคอกข่มขู่จับกุมกลุ่มคนที่ออกมาตะโกนวิพากษ์วิจารณ์การสลายการชุมนุมราวกับประชาชนเป็นอาชญากรร้าย
.
พฤติการณ์หลายอย่างของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติการเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564 ขัดหลักสากลอย่างยิ่ง เกินสัดส่วนคำว่า “ควบคุมฝูงชน” อย่างยิ่ง ทั้งยังละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะคำสั่ง “ปิดกั้น” เสรีภาพการแสดงออก และการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนในพื้นที่ดังกล่าว
.
พฤติกรรมดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐตามนโยบายและคำสั่งของผู้บริหารรัฐ เป็นเรื่องร้ายแรงมากที่เราไม่อาจยอมรับได้
.
เจ้าหน้าที่รัฐอาจอ้างเหตุแห่งการ “บังคับใช้กฎหมาย” เพราะมีการใช้ความรุนแรงก่อน แต่เหตุผลที่ยกมา “อ้าง” นั้น ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะสามารถปฏิบัติการ “เกินสัดส่วน” เหมือนที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะนี้
.
เราขอเสนอสิ่งที่เรียกว่า “กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” เพื่อระงับยับยั้งเหตุดังกล่าว พร้อมทั้งเปิดพื้นทีรับฟังความคิดเห็น โดยรัฐบาลต้องลงมา “เจรจา” กับผู้ชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ใจ บนพื้นฐานที่มองว่า “ผู้ชุมนุมเป็นคน” ไม่ใช่ “ผู้ก่อความไม่สงบ” เพื่อลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด

และเราขอเรียกร้องให้ “ผู้แทนราษฎร” และพรรคการเมืองทุกพรรค ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แสดงบทบาทโดยใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ ผ่านกลไกของรัฐสภา ในการสืบหาข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว เพื่อเยียวยาประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย และร่วมกันหาทางออกจาก “มหาวิกฤต” นี้ไปพร้อมๆกัน
.
สิ่งสุดท้ายที่ควรจำ
.
มหาวิกฤตครั้งนี้ เกิดจากการบริหารประเทศ แบบไร้องค์ความรู้ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม และไร้ภาวะผู้นำ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ทั้งในภาวะปกติ และ ในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนหมดหนทางดำเนินชีวิต และทำมาหาเลี้ยงชีพ มองไม่เห็นอนาคตของตนเอง และ ครอบครัว หลายคนถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัว ชนิดยากจะคืนกลับมาดังเดิมในทันที
.
เหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คนจำนวนมาก “ออกมาทวงอนาคตของพวกเราคืน” เกิดจากการบริหารประเทศแบบ “โอหัง คลั่งอำนาจ” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา