ประเทศฟิลิปปินส์ องค์กรยูนิเซฟได้ระบุว่าเป็นประเทศที่มีมาตรการป้องกันโควิด-19 สำหรับเด็กที่เข้มงวดที่สุดในโลก ประเทศฟิลิปปินส์เป็น 1 ใน 5 ประเทศในโลกที่ยังไม่มีการเปิดโรงเรียนเลย แม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่มีการระบาดใหญ่เกิดขึ้น

ดอรินา มอนซานโต คุณแม่ลูกหก ในกรุงโคจีโอ หมู่บ้านแห่งหนึ่งนอกกรุงมะนิลา ลูกๆของเธอจำนวน 4 คนต้องหยุดเรียนกะทันหันตั้งแต่มีการระบาด ดอรินา ได้รับโทรศัพท์หนึ่งเครื่องมาจากเจ้านาย เธอจึงแบ่งให้ลูกสาววัย 15 ปี และ 12 ปี ผลัดกันเข้าชั้นเรียน

บ้านหลังเล็กของดอรินา มีสมาชิกทั้งหมด 8 คน รวมไปถึงน้องเล็กสุดวัย 2 ขวบ ที่คอยส่งเสียงร้อง บ่งบอกได้ว่าเป็นสถานที่ไม่เหมาะสมสำหรับเรียนหนังสือเท่าไหร่นัก ดอรินา ให้สัมภาษณ์ว่าเธอกังวลกับลูกสาวคนโตวัย 15 มากที่สุดเนื่องจากคะแนนของเธอลดลงต่ำที่สุดในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา

“ลูกๆของฉันสูญเสียแรงกระตุ้นที่จะเรียนรู้ แม้ว่าพวกเขาจะมีความต้องการที่จะเรียนมากแค่ไหน แต่ถ้าพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเรียนเลย มันก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาต้องการคุณครู ซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้เช่นกัน เพราะว่าไม่ได้เรียนในสิ่งที่พวกเขาเรียนในตอนนี้”

องค์กรช่วยเหลือเด็กในฟิลิปปินส์ได้ออกมาเผยว่า วิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ไม่ใช่แค่จะส่งผลกระทบต่อเด็กในเรื่องการศึกษาเท่านั้น แต่มันส่งผลต่อสุขภาพจิต ความเป็นอยู่ที่ดี และความปลอดภัยที่เด็กจะได้รับด้วย นักเรียนกว่า 1.1 ล้านคนในฟิลิปปินส์ไม่ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การระบาดเมื่อปีที่แล้ว

เด็กๆเหล่านั้นมีความเสี่ยงที่จะแต่งงานก่อนวัยอันควร ซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่รุนแรงได้ นอกจากนี้ข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมยังระบุไว้ว่าในช่วงไม่กี่เดือนแรกของการล็อกดาวน์ รายงานการหาผลประโยชน์ทางเพศจากเด็กผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 264 เปอร์เซ็นต์

โรวีนา ผู้อำนวยการองกรค์สิทธิเด็กรายงานว่า เด็กจำนวนมากที่ขาดการศึกษาช่วงโควิดไป มีโอกาสสูงมาที่จะไม่กลับเข้ามาในระบบการศึกษาอีก วิกฤตครั้งนี้จะเป็นการสูญเสียในระดับบุคคลจนไปถึงระดับสังคมอีกด้วย

โซนาลิ เคท วัย 12 ปี นักเรียนชั้น ป.6 เด็กหญิงชาวอินเดีย เธอตื่นนอนตอน 7 โมงเช้าเพื่อทำความสะอาดบ้านขนาด 19 ตร.ม. ในสลัมแห่งหนึ่งในรัฐมหาราษฏระ เมืองมุมไบ รัฐบาลได้เลื่อนการเปิดภาคเรียนออกไปเนื่องจากมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 แม้โซนาลิจะได้รับสมาทโฟนจากองค์กรการกุศลท้องถิ่นแต่เธอก็ยังรู้สึกสับสนที่จะเข้ารับการศึกษาอีกครั้งเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย

ในปี 2017 ทางรัฐบาลได้ทำการเชื่อมต่อสัญญาณฟรีไวไฟไว้ทั่วเมืองแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างเต็มที่ ผลสำรวจพบว่า 1 ใน 3 ของเด็กที่อาศัยอยู่ในสลัมบุบไม ไม่ได้เข้าเรียนออนไลน์ โดยแบ่งเป็น 76 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนและ 43 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต

ที่มา theguardian.com