กลุ่มรามฯเพื่อปชต. ชุมนุมหน้าทำเนียบ แต่งยมบาล หนีนรกมาไล่บิ๊กตู่ ปาสีใส่ภาพเหมือน

ชุมนุมหน้าทำเนียบ หนีนรกมาไล่บิ๊กตู่ ปาสีแดงใส่ภาพเหมือน พร้อมเผยรายชื่อส.ส.โหวตไว้ใจนายกฯและรมว. หวังให้ปชช.ตัดสินใจเลือกตั้งครั้งหน้า

วันที่ 7 กันยายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล ประตู 3 กลุ่มรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตยนัดทำกิจกรรมหน้าบริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยใช้ชื่อว่า ตำแหน่งอยู่ไม่นานตำนานประยุทธ์หมื่นศพจะอยู่ตลอดไป เป็นการขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้นำรั้วเหล็กกั้นปิดบริเวณทางเข้าทำเนียบรัฐบาล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมฝูงชนได้ยืนประจำการอยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ซึ่งเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมมาถึงได้มาทำกิจกรรมบริเวณประตู 3 ด้านข้างทำเนียบรัฐบาล

โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำรายชื่อขบวนการสร้างตำนานฯ โดยนำรายชื่อ ส.ส. ที่โหวตลงมติไว้วางใจนายกฯมาจัดแสดง รวมทั้งรายชื่องูเห่าในพรรคฝ่ายค้านด้วย พร้อมขอให้อย่าเลือกพรรคในฝ่ายรัฐบาลที่เปรียบว่ามีจิตใจอำมหิต พร้อมทั้งมีการทาสีแดงที่ตัวผู้แสดงเปรียบเป็น ‘ยมบาล’ พร้อมข้อความว่า หนีนรกมาไล่ประยุทธ์ พร้อมทั้งปาสีแดงไปยังรายชื่อ ส.ส. ที่โหวตไว้วางใจและงูเห่า และสแตนดี้รูป พล.อ.ประยุทธ์

ต่อมาทางเครือข่ายฯ ได้มีการอ่านแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่า สภาผู้แทนราษฎรได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง กับการแก้ปัญหาโควิด-19 และเศรษฐกิจของประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้านได้อภิปรายถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการต่อปัญหาที่เกิดขึ้น

โดยประชาชนคาดหวังว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะได้พิจารณาอย่างมีเหตุมีผลว่าจะไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไปหรือไม่

อย่างไรก็ดีปรากฏว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนับสนุนรัฐบาลไม่ได้ใช้เวทีของสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจสอบการทำงาน แต่กลับลงมติไว้วางใจให้กับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนนตรีได้ทำงานต่อเพียงเพราะว่าเป็นพรรครัฐบาลกันเท่านั้น

โดยกลุ่มเครือข่ายฯ ได้นำรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ลงมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้บัญชีมาเปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

“ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้รัฐสภาได้พิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะนำพาประเทศฝ่าวิกฤตโควิดและพลิกฟื้นประเทศสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและสามารถลงชีวิตได้อย่างปกติสุข”