“ประเสริฐ” งัดข้อมูลเด็ด! “ประยุทธ์-อนุทิน” กีดกันเข้าโคแวกซ์ อึ้งส่วนต่าง ‘ซิโนแวค’ หลักพันล้าน

ประเสริฐ จากเพื่อไทย เปิดหลักฐานแฉ ประยุทธ์-อนุทิน กีดกันไทยเข้าโคแวกซ์ ฉะรัฐบาลหากินกับความตายส่วนต่างจัดซื้อ ซิโนแวค 1,603 ล้าน เข้ากระเป๋าใคร

วันที่ 31 ส.ค. 2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล โดยเมื่อเวลา 11.30 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข บริหารงานล้มเหลว 4 ด้าน ได้แก่ 1.ความล้มเหลวด้านการควบคุมโรคระบาด ประมาทคิดว่าตัวเองแน่ ตั้งแต่การระบาดต้นปี 63 นายกฯไม่มีการประเมินผล ส่วนนายอนุทิน ไม่กวดขันไม่รอบคอบไม่ระมัดระวัง ทำให้ระบบสาธารณสุขล้มเหลว 2.การจัดหาวัคซีนผิดพลาดล้มเหลว

ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน คาดการณ์สถานการณ์ผิดพลาด ไม่มีความกระตือรือร้นในการจัดหาวัคซีน เมื่อจัดหาก็จัดหาน้อยเกินไป และมีเจตนาไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ตั้งแต่ต้น เนื่องจากไม่มีเงินทอนทำให้ประเทศเสียหายโดยรู้เห็นเป็นใจกับนายอนุทิน นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของภาคเอกชนในการขอนำเข้าวัคซีนทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า การบริหารราชการของพล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงระบบราชการที่มีความล้าหลัง ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะขาดแคลนวัคซีน

3.ความล้มเหลวในการกระจายวัคซีน ที่มั่วทั้งระบบขาดความเป็นเอกภาพต่างคนต่างทำ บางจังหวัดไม่ได้เป็นพื้นที่สีแดงเข้มแต่ได้รับวัคซีนจำนวนมาก และ4.การบริหารงานในสถานการณ์วิกฤตมีการบริหารเหมือนสถานการณ์ปกติ แม้แต่ตัวนายกฯ ยัง WFH ทำงานที่บ้านแบบไม่ทุกข์ร้อน และการสั่งข้อราชการที่ไม่มีความเด็ดขาด

ทั้งหมดคือความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ถามว่าพวกเขาทำผิดอะไร ทั้งที่เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดของพล.อ.ประยุทธ์ นอกจากพล.อ.ประยุทธ์ไม่ช่วยแล้วยังกีดกันไม่อำนวยความสะดวก จนในที่สุดคนไทยมองไม่เห็นอนาคตว่าเขาจะอยู่อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยให้ประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

สิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุดที่คนไทยยอมรับไม่ได้เลย คือ การค้าความตายหากินบนความตายของประชาชนด้วยการจัดซื้อวัคซีนคุณภาพต่ำแต่มีราคาแพง เอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชน โดยซื้อวัคซีนเพียงรายเดียว ผูกขาดตัดตอนขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทำให้วัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนเส้นใหญ่

นายประเสริฐ ยังได้อภิปรายเปิดหลักฐานจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ที่ทนต่อการกระทำของพล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทินไม่ไหว โดยได้มอบข้อมูลการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคที่แสดงให้เห็นถึงแผนการนำเข้า ราคาซื้อต่อโดส และราคาที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ซึ่งการจัดซื้อครั้งที่ 1 มีแผนการนำเข้า 2 ล้านโดส นำเข้าได้จริง 1.9 ล้านโดส ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส , จัดซื้อครั้งที่ 2 ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส ราคาซื้อจริง 15.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส

จัดซื้อครั้งที่ 3 ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส ราคาซื้อจริง 14.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส , จัดซื้อครั้งที่ 4 ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส ราคาซื้อจริง 9.5 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส และจัดซื้อครั้งที่ 5 ราคาตามที่ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส ราคาซื้อจริง 9.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส จากข้อมูลทั้งหมดพบว่า ราคาตามที่ครม.อนุมัติในการจัดซื้อทั้ง 5 ครั้ง คือ 331,500,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท 10,846,680,000 บาท ส่วนราคาที่จัดซื้อจริง คือ 267,364,000 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินบาท 8,748,150,080 บาท ทำให้เกิดส่วนต่างในการจัดซื้อทั้งสิ้น 2,098,529,920 บาท

 

นายประเสริฐ ยังเปิดเผยหลักฐานการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค จากบันทึกการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อการแก้ไขปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภค ในคณะกมธ.คุ้มครองผู้บริโภค เมื่อวันที่ 15 ส.ค.64 ที่ระบุว่า มีการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค 5 ครั้ง พบว่าราคาที่ครม.อนุมัติทั้ง 5 ครั้ง คือ 17.0 เหรียญสหรัฐฯต่อโดส แต่ราคาซื้อจริงครั้งที่ 2 – 5 ราคาลดลงตามลำดับตรงกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่ให้มา ตนจึงอยากถามถึงเงินส่วนต่างว่าหายไปไหน

นอกจากนี้ นายประเสริฐ ยังกล่าวถึงการทำสัญญากับบริษัท แอสตร้าเซเนกา ว่า เป็นการทำสัญญาที่ผูกขาด ตัดตอน ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทำให้รัฐเสียเปรียบ แรกเริ่มการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซเนกา เป็นความร่วมมือระหว่าง SCG กับมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด แต่ที่แปลก คือ รัฐมีโรงงานผลิตวัคซีนที่ทันสมัย แต่ทำไมไม่มอบให้โรงงานแห่งนี้ที่รัฐเป็นเจ้าของผลิต ตนไม่เข้าใจ นอกจากนี้ ตนยังมีหลักฐานว่าพล.อ.ประยุทธ์ กระทำการมิบังควร แอบอ้างพาดพิงสถาบันในการจัดซื้อวัคซีนด้วย

นายประเสริฐ กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตถึงความผิดพลาดในการบริหารจัดการวัคซีนแอสตร้าเซเนกา ประการแรก รัฐบาลแทงม้าตัวเดียว ไม่ยอมบริหารความเสี่ยง ซึ่งเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ก็ให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันว่า ควรจะมีการสั่งซื้อวัคซีนในหลายทางเลือกให้กับประชาชน ประการที่สอง สัญญาซื้อขายเสียเปรียบบริษัทแอสตร้าเซเนกา UK เพราะต้องสั่งซื้อล่วงหน้า และต้องจ่าย 60 %ของมูลค่าการซื้อสั่ง หรือประมาณ 2 พันล้านบาท ก่อนด้วย และในสัญญายังระบุอีกว่าหากผลิตไม่ได้ก็ต้องสูญเงินจำนวนดังกล่าว

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า การผลิตวัคซีนแอสตร้าฯ ทุกสามล้านโดสนั้น หนึ่งล้านโดสแบ่งให้ประเทศไทย และ 2 ล้านโดสนำไปฉีดให้ต่างประเทศ ถามว่าทำสัญญาอย่างนี้ได้อย่างไร ทำสัญญาอย่างนี้คนไทยถึงไม่ได้ฉีดวัคซีนสักที คนไทยได้ฉีดวัคซีนที่สามารถผลิตเองในประเทศ น้อยกว่าคนต่างประเทศ ท่านทำสัญญาอย่างนี้ได้อย่างไร ท่านต้องให้ประชาชนในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนที่เพียงพอก่อน ค่อยเอาไปจัดสรรให้คนต่างประเทศ

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ประการที่สาม ความสับสนในการทำสัญญาระหว่างบริษัทแอสตร้าฯกับทางการไทย ตามเอกสารในวันที่ 25 มิ.ย.64 ที่บริษัท เขียนถึงนายอนุทินฯ ระบุว่า การกำหนดการผลิตวัคซีนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย จะทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับวัคซีนประมาณ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับผลิตผลของสารที่ใช้ในการผลิตวัคซีน และท้ายจดหมายยังระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ประมาณการว่า ระบบสาธารณสุขของประเทศไทย มีความต้องการวัคซีนประมาณ 3 ล้านโดสต่อเดือน และบริษัทแอสตร้าฯ แนะนำให้ไทยเข้าร่วมโครงการโคแว๊กซ์ เนื่องจากโครงการนี้มีวัคซีนแอสตร้าฯอยู่ด้วย

แต่นายอนุทิน ได้ทำเอกสารตอบกลับวันที่ 30 มิ.ย.64 ถึงบริษัทแอสตร้าฯว่า ไทยคาดว่าจะได้รับวัคซีนมากกว่า 1 ใน 3 ของการจัดส่งจากแอสตร้าฯ หรืออย่างน้อย 10 ล้านโดสต่อเดือนสำหรับการใช้ในประเทศ ตนดูเอกสารการโต้ตอบแล้ว เกิดความสับสนว่า กระทรวงสาธารณสุข สั่งวัคซีนไม่พอเพียง หรือบริษัทแอสตร้าฯส่งของไม่ครบตามสัญญา สงสัยว่ปัญหาวัคซีนขาดแคลนเกิดจากฝ่ายไหนกันแน่ ทุกวันนี้ ประชาชนจึงไม่เชื่อใจรัฐบาล นี่คือความบริหารการทำสัญญาที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของพลเอกประยุทธ์ และนายอนุทิน

“ผมขอกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน จงใจปฏิบัติ ละเว้นการปฏิบัติ ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ไม่สามารถดำเนินการตามเป้าหมายและแผนงานการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ไม่ซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผย ขาดความรอบคอบและขาดความระมัดระวัง นอกจากนี้ นายกฯ และนายอนุทิน ร่วมกันจัดหาและจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ส่อไปในทางทุจริต ไม่โปร่งใส เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง แสวงหาประโยชน์จากการจัดซีนวัคซีน บนความตายของประชาชน

ทั้งยังกีดกันวัคซีนอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เพื่อมิให้คนไทยได้มีโอกาสฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน มีพฤติกรรมค้าความตาย หาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน โดยให้นโยบายวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวตอนท้ายว่า ข้อเรียกร้องของประชาชน ที่ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก เพราะเห็นว่าท่านไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตินี้ได้ ถ้าอยู่ต่อ เกรงว่าประเทศจะเสียหายมากกว่านี้ ข้อเรียกร้องของภาคเอกชน ที่ไม่ทน ขอให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้เอกชนได้จัดซื้อวัคซีนโดยตรง เพราะไม่สามารถคอยความหวังจากรัฐบาลได้ แม้กระทั่งจดหมายจากเพื่อนนิเทศจุฬาฯ รุ่น 40 ส่งถึงลูกสาวนายก ที่เขียนบอกให้คุณพ่อลาออกนั้น เป็นสัญญาณที่ประชาชนแสดงออกมา ว่าเขาไม่ต้องการท่านแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปรายของนายประเสริฐ มีการกล่าวพาดพิงถึงองค์กร และบุคคลภายนอก รวมถึงพูดถึงคุณภาพของวัคซีนซิโนแวคหลายครั้ง ทำให้นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วงว่าอาจทำให้เกิดความเสียหาย และขัดข้อบังคับการประชุม อีกทั้งการด้อยค่าวัคซีนอาจทำให้ประชาชนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคไปแล้วเกิดความเข้าใจผิด และหวาดกลัว

จากนั้น นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม จึงได้เตือนนายประเสริฐโดยขอให้หลีกเลี่ยงการนำเสนอภาพบุคคลภายนอก และจะอนุญาตอย่างเต็มที่ในการอภิปรายฝ่ายบริหาร เพราะบุคคลภายนอกไม่มีโอกาสมาชี้แจง และขอให้ระมัดระวังการอภิปรายถึงคุณภาพของวัคซีน เพราะอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ