ราชทัณฑ์ ย้ำปฏิบัติงานดูแล ผู้ต้องขังตามหลักสิทธิมนุษยชน ยืนยันไม่มีปิดบังตัวเลขผู้ติดเชื้อ

“กรมราชทัณฑ์ ย้ำปฏิบัติงานดูแลผู้ต้องขังตามหลักสิทธิมนุษยชน ยืนยันไม่มีการปิดบังตัวเลขผู้ติดเชื้อ พร้อมชี้แจงสังคมตามข้อเท็จจริง”

วันที่ 26 สิงหาคม 2564 นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณีคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจาก นายภวัต หิรัณย์ภณ เพื่อร้องเรียนพฤติกรรมของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายกระทำการอันเป็นที่สงสัยว่ามีเจตนาจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่เรือนจำ พิเศษกรุงเทพ และเรือนจำในสังกัด มีการละเมิดผู้ต้องขังและปิดบังข้อมูลแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในเรือนจำ นั้น ตนในฐานะกำกับดูแลกรมราชทัณฑ์ ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

จากกรณีเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน นายสมศักดิ์ เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เร่งสั่งการให้จัดตั้ง ศบค.ยธ. และ ศบค.รท. เพื่อดำเนินการป้องกันและควบคุม การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทันที เพื่อประชุมติดตามสถานการณ์ในทุกมิติทั้งเรื่องข้อมูลผู้ติดเชื้อ การกำหนดแนวทางการรักษา การบริหารจัดการยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้ต้องขัง

โดยดำเนินการประชุมติดตามสถานการณ์ในทุกเรือนจำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการควบคุม การระบาดตามแนวทางสาธารณสุข คือ การคัดกรองรวดเร็ว (Early Detection) ตรวจวินิจฉัยรวดเร็ว (Early Diagnosis) รักษารวดเร็ว (Early Treatment) เพื่อช่วยให้ควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว (Early Containment) ทั้งด้วยวิธี RT-PCR, Antigen Test Kit (ATK) การเอกซเรย์ปอด และการตรวจวัดค่าออกซิเจนปลายนิ้ว ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ทั้งในแง่ของการรักษา และควบคุมโรค ทำให้ผู้ติดเชื้อได้เข้าถึงยาอย่างทันท่วงที ทั้งในส่วนของยาฟาวิพิราเวียร์และยาฟ้าทะลายโจร เพื่อลดความรุนแรงของโรค และลดอัตราการเสียชีวิตลงได้

นายธวัชชัยกล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการป้องกันและการรักษา ยังคงเน้นย้ำการดำเนินการตามมาตรการ อย่างเคร่งครัดในทุกเรือนจำทั่วประเทศ โดยเฉพาะการป้องกันเชื้อจากเจ้าหน้าที่ที่ต้องดำเนินการตรวจหาเชื้อ และต้องยืนยันผลว่าไม่พบเชื้อก่อนเข้าปฏิบัติงานทุกครั้ง และในส่วนของการค้นหา คัดแยก และรักษาผู้ติดเชื้อ ทาง ศบค.รท. ได้สนับสนุนช่วยเหลือทั้งในส่วนของเครื่องเอกซเรย์ เวชภัณฑ์ ยา และบุคลากร ในแต่ละพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากทุกฝ่ายดำเนินการตามมาตรฐานภายใต้กรอบที่วางไว้เชื่อว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และจากการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจุบัน พบว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่รักษาหายมากกว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนผู้ที่ยังอยู่ระหว่างการรักษาลดลงตามไปด้วย โดยจากสถิติตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม จนถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2564 มีจำนวนผู้ติดเชื้อระหว่างรักษาลดลงไปมากกว่า 55% ขณะที่จำนวนเรือนจำแห่งใหม่ที่พบการระบาดเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งหากยังสามารถควบคุมการระบาดและป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัดและเป็นระบบ คาดการณ์ว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากนี้

นอกจากนี้ กรมราชทัณฑ์ ได้กำชับแนวทางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ โดยก่อนการเข้าปฏิบัติงานจะต้องตรวจหาเชื้อพร้อมยืนยันผลว่าไม่ติดเชื้อทุกครั้ง และในเรือนจำสีแดงจะต้องตรวจซ้ำ อีกครั้งก่อนออก เพื่อป้องกันการนำเชื้อเข้าและออกจากพื้นที่แพร่ระบาด โดยในระหว่างพักเวรหรือไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ จะต้องป้องกันตนเองจากเชื้อตามมาตรการ D-M-H-T รวมถึงมาตรการอื่นๆ ของกรมราชทัณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด