เทพไท วิเคราะห์ก้าวไกล-เพื่อไทย แตกคอกัน เพราะแย่งมวลชนตลาดเดียวกัน จึงต้องชิงไหวพริบ

เทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ สวมบทกูรูวิเคราะห์ปม ก้าวไกล-เพื่อไทย แตกคอกัน ชี้เป็นการแย่งมวลชนตลาดเดียวกัน จึงต้องชิงไหวชิงพริบ

5 ส.ค. 2564 – นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัววิเคราะห์การเมือง ปมความขัดแย้งระหว่าง พรรคเพื่อไทย และ พรรคก้าวไกล

นายเทพไท ระบุใจความว่า ตนเห็นความขัดแย้งระหว่าง พรรคเพื่อไทย กับ พรรคก้าวไกล มาหลายครั้ง แม้ทั้ง 2 จะมีจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกันที่เรียกว่าเป็น ฝ่ายประชาธิปไตย มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองลักษณะเดียวกัน มีฐานมวลชนกลุ่มเดียวกัน แต่ยุทธวิธีในการเคลื่อนไหวหรือดีกรีทางการเมืองของทั้ง 2 พรรค ไม่เท่ากัน จึงทำให้มีการชิงไหวชิงพริบทางการเมืองกันตลอดเวลา

ภาพรวม พรรคก้าวไกล มีความเคลื่อนไหวที่เข้มข้นกว่า ทำให้ตลาดกลุ่มฮาร์ดคอร์ หันมาสนับสนุนหนาแน่น จนพรรคเพื่อไทยต้องปรับขบวน เพื่อไม่ให้เสียตลาดมวลชนที่เป็นฐานเสียงเดิมของพรรคไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าทีต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มมวลชน ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้

ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มประชาชนไม่ทน กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการเมือง กลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากนายกรัฐมนตรี 2. ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยตั้ง ส.ส.ร. และแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทั้งฉบับไม่มีข้อยกเว้น และ 3. ปฏิรูปสถาบัน

แต่ท่วงทำนองท่าทีของพรรคเพื่อไทย ยอมรับข้อเสนอนี้ได้เพียง 1 ข้อครึ่งเท่านั้น คือเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ได้มีเงื่อนไขไม่แก้หมวดหนึ่งและหมวดสอง คือไม่แตะต้องสถาบัน แต่สำหรับพรรคก้าวไกลนั้น เห็นด้วยกับข้อเสนอของกลุ่มมวลชนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองทั้ง 3 ข้ออย่างชัดเจน

“จึงทำให้มีการแบ่งแยก แย่งชิงมวลชนที่เป็นฐานเดียวกัน จะเห็นได้ว่ากลุ่มฮาร์ดคอร์ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่สนับสนุนก้าวไกลเกือบทั้งหมด ขณะเดียวกันมวลชนคนเสื้อแดง ก็สนับสนุนเพื่อไทย ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมเพื่อไทยและก้าวไกล มีการชิงไหวชิงพริบ ชิงเหลี่ยมการเคลื่อนไหวทางการเมืองกันอย่างชัดเจน นับตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรก จนถึงการลงมติโหวตงบประมาณ 65 ที่ตัดลดไว้ ไปอยู่ในงบกลางของนายกรัฐมนตรี เหตุผลทั้งหมดคือเป็นการเอาใจ และแย่งชิงตลาดมวลชนเท่านั้นเอง”