นพ.เรวัตแนะ 3 ข้อแก้ สธ. อัดใช้วัคซีนหาเสียงทางการเมืองคร่าชีวิตคนเยอะแล้ว ลั่นต้องการผู้นำที่ไม่ WFH

‘หมอเรวัต’ เหน็บการนำวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัดมาหาเสียงทางการเมือง ได้คร่าชีวิต ปชช.จำนวนมาก นับเป็นบาปอย่างมหันต์ ในยามวิกฤตที่มีคนป่วยและตายคาบ้าน เราต้องการผู้นำที่ไม่โง่ ไม่เวิร์กฟรอมโฮม

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย (สร.) กล่าวว่า วันนี้มียอดผู้ติดเชื้อโควิด 17,970 ราย เสียชีวิต 178 ราย ซึ่งจะยังคงสูงต่อเนื่องไปอีกหลายวัน ปัญหาสำคัญคือผู้ป่วยที่ครองเตียงทั้งในวอร์ดและไอซียูของโรงพยาบาลประมาณ 80-90% คือกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรค ที่ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทุกวัน เป็นเหตุให้เตียงเต็ม ไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่มได้อีก จนระบบสาธารณสุขล่มสลาย

นพ.เรวัตกล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะผู้มีอำนาจและ ศบค.เปลี่ยนแผนการฉีดวัคซีนโดยไม่ยึดหลัก ทางการแพทย์ที่ต้องฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงก่อนเพื่อไม่ให้ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล แต่กลับโอนเอนไปตามการกดดันของกลุ่มต่างๆ เช่น กระทรวงแรงงาน คมนาคม และ กทม. ฯลฯ ที่ขอวัคซีนไปฉีดกันเองให้กับกลุ่มต่างๆ ที่ถึงแม้จะติดเชื้อก็จะไม่ป่วยหนัก ไม่ครองเตียงในโรงพยาบาลจนระบบล่ม การเปลี่ยนนโยบายการกระจายวัคซีนจึงไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่มีหลักฐานอ้างอิงทางการแพทย์ จึงส่งผลเสียอย่างร้ายแรงในวันนี้

นพ.เรวัตกล่าวต่อว่า ถ้าหากจะแก้ระบบสาธารณสุขให้กลับคืนมาได้ด้วยจำนวนวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัดในขณะนี้จึงไม่อาจฉีดแบบปูพรม หรือสะเปะสะปะได้ แต่ต้องปฏิบัติการอย่างเคร่งครัดโดยเร่งด่วนคือ 1.เร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้กับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว 7 โรคให้มากที่สุด เพื่อบล็อกหรือลดจำนวนการป่วยเข้าโรงพยาบาล ซึ่งจะลดการครองเตียงและลด work load ของบุคลากรได้ 2.เร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าอื่นๆ ให้มากที่สุด เพื่อป้องกันการสูญเสีย กำลังคนที่มีอยู่อย่างจำกัดในขณะนี้ และ 3.เพิ่มประสิทธิภาพและการเข้าถึงระบบของกลุ่มผู้ป่วยที่อยู่ในกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และ Community Isolation เพื่อให้ได้รับการดูแล ทั้งการมอนิเตอร์การตรวจ และรักษาได้เร็วขึ้น

“ทั้ง 3 มาตรการอาจไม่เห็นผลได้ในทันที แต่จะส่งผลดีในอนาคตอันใกล้ การนำเอาวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัดมาหาเสียงทางการเมืองได้คร่าชีวิตประชาชนไปเป็นจำนวนมาก นับเป็นบาปอย่างมหันต์ ในยามวิกฤตที่มีคนป่วยและตายคาบ้าน เราต้องการผู้นำที่ไม่โง่ ไม่ขี้เกียจ ไม่ขี้ขลาด ไม่เวิร์กฟรอมโฮม” นพ.เรวัตกล่าว