จตุพร โยน นายกฯทำปรองดองให้สำเร็จ ยันพร้อมร่วมมือ ด้าน เพื่อไทย-ปชป.หุนนเต็มที่

“จตุพร” โยน นายก รับผิดชอบ สร้างปรองดองให้สำเร็จ เตือนหากปรองดองไม่สำเร็จ อนาคตเกิดวิกฤตแน่ “เพื่อไทย -ปชป” หนุนปรองดองเต็มที่ ด้านชวลิต เผยเนื้อหาไม่ครอบคลุม ขาดปมสาเหตุขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่กองทัพภาคที่1 นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) . กล่าวถึงร่างสัญญาประชาคม ว่า การดำเนินการสร้างความปรองดองตั้งแต่ต้น ถึงตอนนี้ไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ ทำงานอย่างสุขุมคัมภีรภาพ พูดกันด้วยมธุรสวาจา ซึ่ง10 ข้อที่ออกมาก็แปลงมาจาก 10 คำถาม โดยเนื้อหา 10 ข้อคือนามธรรมจะให้เป็นรูปธรรมได้นั้นคือทั้ง 10 ข้อจะสามารถสร้างความปรองดองในชาติได้อย่างไร

“ผมยินดีให้ความร่วมมือตั้งแต่ต้นจนจบ มาตลอด โดยที่ผมและนปช.ไม่เป็นอุปสรรค แต่สิ่งที่สำคัญขึ้นอยู่กับผู้ที่มีอำนาจที่รับผิดชอบก็คือนายกรัฐมนตรีและคสช. ผู้ซึ่งอัญเชิญพระกระแสรับสั่ง มาเชิญชวนประชาชนให้ร่วมปรองดอง หลายข้อแม้จะยังมีข้อสงสัยก็ถือเป็นเรื่องเล็ก ถ้าเราปรองดองกันได้ก็ไม่ต้องกลับไปเหมือนเดิมเรื่องรบกันไม่ยากแต่เรื่องรักกันยาก ผมหวังว่าให้ปรองดองสำเร็จหากไม่สำเร็จ หนทางข้างหน้าก็จะเกิดวิกฤติ ที่รอข้างหน้าอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นนายกคนนอกหรือคนในก็เกิดวิกฤติอยู่แล้วถ้าไม่มีการปรองดอง ปัญหาและสถานการณ์ก็ยิ่งจะเลวร้ายขึ้น ดังนั้นขอให้พิสูจน์กันก่อนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามสัญญาประชาคม แม้จะเป็นนามธรรมแต่จะให้นายกฯใช้เวลาที่เหลือทำให้เห็นผลเป็นรูปธรรม” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ถ้าสังคมอยู่ในความกลัวความปรองดองก็ไม่เกิดเพราะฉะนั้นต้องเริ่มจากกล้า ที่ทุกฝ่ายเห็นด้วยเพราะรักชาติบ้านเมืองเหมือนกันรักสถาบันเหมือนกัน 10 ข้อในร่างสัญญาประชาคมถือเป็นภาคที่หนึ่งต้องดูภาคต่อไป จะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ไม่ใช่ความสำคัญเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนไทยรักได้เหมือน ศีล 5 ที่คนก็เห็นด้วยแต่จากปฏิบัติได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผ่านมากองทัพก็เคยทำประสบความสำเร็จมาแล้วเช่นนโยบาย 66 / 2523เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลว่ากรรมการที่ทำเรื่องนี้เป็นนายทหารแล้วจะเป็นกลางหรือไม่ ผลที่ออกมา คนไทยรับได้ ที่เหลือก็เป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี หวังว่าเมื่อเกิดความปรองดองขึ้นแล้วคงจะไม่กลับไปเหมือนเดิมทหารก็ไม่ต้องเข้ามาอีก แล้วก็ไม่ต้องทำปรองดองกันอีกซ้ำอีก

นายจตุพร กล่าวต่อว่า เนื้อหาของสัญญาประชาคม เป็นลายลักษณ์อักษรที่กว้างๆ ขั้นตอนและการปฏิบัติ ทางรัฐบาลยังมีเวลาที่จะทำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ใช้เวลาหนึ่งปีกว่าๆเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องรับผิดชอบ

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว ว่า จากการรับฟังร่างสัญญาประชาคมเห็นว่ามีการประดิษฐ์ถ้อยคำที่สวยงามซึ่งต้องดูว่าจะนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างไร เบื้องต้นตนยังไม่ขอเเสดงความคิดเห็นเพราะต้องนำรายละเอียดของร่างสัญญาประชาคมไปพูดคุยภายในพรรคก่อน แต่เห็นว่าร่างสัญญาประชาคมดังกล่าวยังไม่ได้ลงลึกไปในรายละเอียด ที่ต้องมีการพูดถึงการเยี่ยวยาและสาเหตุของความขัดแย้งอย่างรายงานฉบับของคณะกรรมการอิสระและตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. และรายงานฉบับของสถาบันพระปกเกล้า อย่างก็ไรตามยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะให้ความร่วมมือต่อกระบวนการดังกล่าวอย่างเต็มที่

ด้าน นายธนา ชีรวินิจ อดีตส.ส.กรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังเข้าร่วมเวที “ร่างสัญญาประชาคม เพื่อสร้างความปรองดอง” ว่า ตนเห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการเดินหน้าเรื่องปรองดอง ตนขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการปรองดองโดยเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ในส่วนร่างสัญญาประชาคม 10 ข้อนั้น ตนไม่ขอวิจารณ์ แต่เชื่อว่าประชาชนที่ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆนั้น จะเข้าใจในวิวัฒนาการที่เปลี่ยนไป