พิธา ชง 5 มาตรการดูแลด่านหน้า แนะฉีดmRNA อย่าจำกัดว่าต้องเข็ม 3 เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการบริหารจัดการวัคซีน โดยเฉพาะกรณีวัคซีนไฟเซอร์ที่เพิ่งได้รับบริจาคจากสหรัฐฯ ระบุว่า

มาตรการ 5 ข้อ ดูแลบุคลากรด่านหน้า ถ้าทหารได้รับการดูแลเป็นพิเศษหลังการรัฐประหาร บุคลากรด่านหน้าของเราต้องได้มากกว่า

ถึงเวลานี้เราต้องยอมรับกันได้แล้วว่า นี่คือห้วงวิกฤตที่ย่ำแย่ที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศไทย เราต่างได้เห็นภาพอันน่าเศร้า ผู้คนเจ็บป่วยล้มตาย สูญเสียชีวิตทั้งตัวเองและคนที่รักอย่างไม่มีทางหวนคืน พวกเราทุกคนต่างพยายามป้องกันตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มีคนกลุ่มหนึ่งที่นอกจากป้องกันตัวเองแล้ว ยังต้องช่วยเหลือป้องกันให้คนอื่นอีก คนกลุ่มนั้นคือ บุคลากรสาธารณสุขหรือบุคลากรด่านหน้าครับ

บุคลากรด่านหน้า คือปราการด่านสุดท้าย ที่จะสามารถดูแลป้องกันพวกเราให้ผ่านพ้นวิกฤตรอบนี้ไปได้อย่างเจ็บน้อยที่สุด ด้วยความเสียสละของพวกเขา ทำให้เราสามารถลดความร้ายแรงของวิกฤตนี้ลงได้บ้าง

แต่ความสำเร็จเล็กๆ นั้นก็ต้องแลกมาด้วยความเสียสละของบุคลากรด่านหน้าในหลายรูปแบบครับ

หลายคนไม่สามารถกลับบ้านไปพบครอบครัวหรือคนรักได้มาเป็นเวลาหลายเดือน เนื่องจากตัวเองมาความเสี่ยง จึงไม่ต้องการเพิ่มความเสี่ยงให้กับคนรักหรือครอบครัว

หลายคนต้องทนตรากตรำทำงานไม่มีเวลาพักผ่อนในสภาวะการทำงานที่วิกฤต เร่งด่วน อันตรายและเคร่งเครียด บางคนต้องเป็นลมในเวลาทำงานหรือล้มป่วยจากการทำงานหนัก

หลายคนถึงแม้จะได้รับวัคซีนแล้ว แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อ จนทำให้พวกเขาหลายคนต้องกลายสภาพมาเป็นคนป่วยเสียเอง ซึ่งส่งผลให้บางคนต้องเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดจากการทำงาน และบางคนก็สูญเสียคนรักและครอบครัวไปจากการติดเชื้อจากตัวเองที่ได้รับมาจากการทำงาน

ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องให้ความสำคัญกับบุคลากรด่านหน้าให้มากกว่านี้ ผมจึงขอเสนอมาตรการ 5 ข้อ เพื่อดูแลบุคลากรด่านหน้า ปราการด่านสุดท้ายของพวกเราให้ดียิ่งขึ้นครับ

1) วัคซีน mRNA ต้องให้บุคลากรด่านหน้าก่อน โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นวัคซีนเข็มที่สาม หรือวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (booster dose) เท่านั้น เพราะบุคลากรด่านหน้าที่เลือกไม่รับวัคซีน Sinovac ตั้งแต่แรก หรือยังรับวัคซีนไม่ครบ พวกเขารับความเสี่ยงด้วยตัวเองมานาน กว่ารัฐบาลจะจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาให้พวกเขาได้ ก็ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพเช่นกัน

เกณฑ์การจัดสรรวัคซีนให้บุคลากรด่านหน้าที่ควรจะเป็น

Sinovac 2 เข็ม —> Pfizer 2 โดส
Sinovac 1 เข็ม —> Pfizer 2 โดส
ยังไม่ได้รับวัคซีน —> Pfizer 2 โดส
AstraZeneca 1 เข็ม —> Pfizer 1 โดส

นอกจากนี้อาจจะต้องมองไปข้างหน้าถึงวัคซีนเข็มถัดไปที่มีคุณภาพดีด้วย

2) จัดงบกลางที่มีอยู่ให้พร้อมและเพียงพอต่อความต้องการ ทำการเบิกชุด PPE PAPR, หน้ากาก N95 รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันและอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานทุกชนิดให้พร้อม ลดขั้นตอนการเบิกจ่ายแบบราชการที่ซับซ้อนให้ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด งานธุรการทุกอย่างถ้าทำทีหลังได้หรืออำนวยความสะดวกได้ ต้องทำแทนบุคลากรด่านหน้าให้มากที่สุด

3) ทำประกันชีวิตให้ครอบครัวบุคลากรด่านหน้า 10 ล้านบาท ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยากให้มีการสูญเสีย ถึงแม้จะมีการป้องกันอย่างดีแล้วก็คงไม่อาจมั่นใจได้ 100% ดังนั้น จึงควรสร้างความมั่นใจให้กับบุคลากรด่านหน้าและครอบครัวว่าหากเกิดการสูญเสียขึ้น พวกเขาจะได้รับการเยียวยาและได้รับการดูแลอย่างที่ควรจะเป็น

4) เร่งสร้างกำลังเสริมเข้าสับเปลี่ยนเป็นกองหนุนให้กับบุคลากรด่านหน้าในระดับนโยบายจากรัฐบาล ในปัจจุบันเรายังมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถจำนวนหนึ่ง ที่อาจจะแบ่งเบาบุคลากรด่านหน้าที่สู้กับโควิดมาเป็นระยะเวลานานแล้วได้ เช่น แพทย์สาขาอื่นที่ยังไม่ได้ดูแลผู้ป่วยโควิด และ แพทย์ประจำบ้านสาขาต่างๆ ที่ยังมีการเรียนการสอนอยู่ ต้องปลดล็อกทุกกฎระเบียบและข้อจำกัด พร้อมไปกับการทำ training บุคลากรที่ยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดูแลโควิดโดยตรง ให้สามารถดูแลได้ เพื่อระดมบุคลากรมาสับเปลี่ยนกับบุคลากรด่านหน้าชุดเดิมในทุกตำแหน่ง ที่ทำงานกันมาอย่างหนักเป็นเวลานานแล้ว

5) เพิ่มค่าตอบแทนให้เหมาะสม ในปัจจุบันบุคลากรด่านหน้าคือกลุ่มคนที่ทำงานหนักที่สุดและเสี่ยงที่สุดในวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นกลุ่มคนที่ควรได้รับการตอบแทนให้เหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำ

ผมยังจำได้ดีว่าหลังการทำรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยบังคับใช้กฎอัยการศึกเป็นเวลาหลายเดือน ในช่วงเวลานั้น ทหารและแขนขาของ คสช. ได้รับเบี้ยเลี้ยงค่าตอบแทนพิเศษ รวมถึงได้นับเวลาราชการแบบทวีคูณ ถ้าทหารได้รับการดูแลเป็นพิเศษในช่วงการทำรัฐประหาร บุคลากรด่านหน้าของเราต้องได้มากกว่าครับ