“สุรชาติ” ฟาดรัฐบาล รับความจริง ไทยเข้าภาวะรัฐล้มเหลว วิกฤตโควิดไม่เหลืออะไรดูแลปชช.แล้ว

วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายสุรชาติ เทียนทอง อดีต ส.ส.กทม.หลักสี่ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จากการลงพื้นที่ดูแลประชาชนในเขตหลักสี่ว่า

ยอมรับเถอะครับว่าประเทศไทยเข้าสู่สภาวะรัฐล้มเหลวแล้ว

มันไม่เหลืออะไรที่พอจะดูแลประชาชนได้แล้ว
การฉีดวัคซีนล้มเหลว เรื่องชนิดของวัคซีนไม่ต้องพูดถึง แค่ phizer จะเข้ามา 1.5 ล้านโ้ด้สพรุ่งนี้ กลุ่มหมอด่านหน้า (คนที่ต้องเป็นกลุ่มแรกที่ได้ฉีด) ยังต้องไปทวงถามถึงสถานฑูตฯ กลัวว่าจะโดนฉกไปอีก

ส่วนสถานที่ฉีด สถานีบางซื่อที่เป็นความภูมิใจของพรรคนึงและเป็นความเสียหน้าของอีกพรรคกำลังจะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อขนาดใหญ่ ถามจริงๆ กรุงเทพฯ เมืองมหานครของโลกมันมีสถานที่เดียวเหรอที่มีความพร้อมในการบริการประชาชน?

เรื่องเตียงฯไม่ต้องพูดถึง มันจบไปแล้ว ไม่พอไม่ว่า ไม่มีระบบการเรียงลำดับความหนักเบาของคนไข้อีก คนบ้านอยู่ตรงข้ามกัน บ้านนึงเป็นคนแก่อาการหนักรอเตียงมา 5 วัน อีกบ้านนึงเป็นคนหนุ่มอยู่ในกลุ่มสีเขียว เพิ่งตรวจรู้ผลว่าเป็นเมื่อวาน สรุปคนหนุ่มได้เตียงก่อน ส่วนคนแก่รอไปจนไม่ไหว ได้ไปโรงพยาบาลคืนนึงก็ตาย นี่ยังไม่นับที่ตายคาบ้านคาถนนนะ

Home Isolation ก็จบครับ หลักการคือผู้ป่วยอยู่บ้าน และบ้านต้องที่พื้นที่ให้สร้างระยะห่างกับคนอื่นในครอบครัว และจะมีหมอโทรไปเยี่ยมสอบถามอาการวันละ 2 ครั้ง แต่ความจริงคือผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในบ้านหรือห้องเช่าที่แออัดไม่มีพื้นที่กักตัว ถ้าอยู่บ้านโอกาสติดทั้งบ้านมันก็เกือบ 100% ส่วนการโทรมาเยี่ยมของหมอวันละสองครั้ง พูดกันตามความจริง วันนี้แค่ผู้ป่วยในระบบ ตัวเลขผู้ป่วยใหม่ที่เพิ่มสะสมขึ้นมาในกรุงเทพฯมันมากกว่าแสนคนแล้ว (ตัวเลขไม่เป็นทางการมากกว่า 5 แสนคน) ถามหน่อยครับถ้าต้องโทรเยี่ยมวันละสองครั้ง จะมีบุคลากรเพียงพอเหรอในการยกหูหาคนไข้วันละ 2 แสนครั้ง? ขนาดแค่รับโทรศัพท์ยังไม่ไหวเลย เรื่องยาที่จะส่งไปตามบ้านไม่ต้องพูดถึงนะครับ มีครับที่ได้แต่เป็นส่วนน้อย ถ้าแค่โทรยังทำไม่ได้ไม่ต้องพูดถึงการดูแลอย่างอื่น แล้วตัวเลขที่มันเพิ่มขึ้นทุกวันแบบทวีคูณ ถ้าไม่ล้มเหลวแล้วจะเรียกอะไร?

ศูนย์พักคอยที่ทำก็จบ เคยพูดไปเมื่ออาทิตย์ก่อนว่าควรใช้วัดและโรงเรียนทุกเขตทำเป็นศูนย์ฯ แยกคนป่วยออกจากครอบครัวและชุมชนก่อนเพื่อระงับการแพร่เชื้อแบบทวีคูณก็ไม่ทำ ทำแค่เขตละร้อย สองร้อยเตียงมันจะไปพออะไร มาถึงวันนี้ต่อให้ใช้ทุกวัดทุกโรงเรียนมันก็ไม่พอแล้ว มันเลยจุดไปหมดแล้ว ถ้าพอมีหวังก็ต้องใช้แบบ micro จริงๆคือที่ทำการชุมชนทุกชุมชน ให้อำนาจประธานชุมชนและ อสม.แต่และชุมชนประสานกับศูนย์สาธารณสุขแต่ละเขต โดยแต่ละสำนักงานเขตตัองทำงาน 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด

ที่พูดไม่ได้นั่งเทียนเขียนครับ ไม่มีดราม่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ พูดจากสิ่งที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู รับรู้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ถ้าใครจะเถียง กล้าท้าให้มาลงพื้นที่ด้วยกันครับ ไปบ้านคนป่วยด้วยกัน เข้าไปถึงห้องนอน ไม่ต้องมีชุด PPE ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น

ยอมรับตรงๆสิ่งที่พวกเราตื่นออกจากบ้านไปเสี่ยงทุกวัน ทำได้แค่ไปเยี่ยม เอาของที่จำเป็นไปให้ พ่นยาฆ่าเชื้อในชุมชน ประสานเตียงให้ผู้ป่วยหนัก ซึ่งประสานไปร้อยราย ได้สักสิบรายก็มหัศจรรย์แล้ว มันเป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทั้งนั้น

จะทำถึงที่สุดครับ ถึงไหนก็จะทำ ใครจะเห็นไม่เห็นก็จะทำ และผมขอบอกไว้ตรงนี้นะครับ พวกผมไม่ใช่นักการเมืองที่หายใจเข้าออกเป็นคะแนนเสียง เราไม่ใช่พวกที่เดินยกมือไหว้ขอให้คนมาเลือกโดยไม่มีเหตุผลหรือแจกของเพื่อเอาบุญคุณ พวกเราทำเพราะใจมันสั่งให้เราทำ แค่นั้น.