“โรม” ฟาดรัฐบาล งัดกฎเข้มเฟกนิวส์ปิดปากปชช. ย้อนข้อมูลรัฐเปลี่ยนไปมา

“โรม” ตบหน้ารัฐบาล งัดกฎเข้มเฟกนิวส์ปิดปากปชช. ย้อนข้อมูลรัฐเปลี่ยนแปลงไปมา ถามเคยจัดการคนฝั่งตัวเองหรือไม่

วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 เมื่อเวลา 10.15 น. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีกับผู้ที่ปล่อยข่าวปลอม (Fake News) ในช่วงโควิด-19 ทำให้กระทบต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ว่า ตอนนี้ไม่ต้องบอกว่าเป็นเฟกนิวส์ เพราะต่อให้เป็นข่าวจริงก็สามารถดำเนินการได้ทันที ถ้ากระทบต่อความมั่งคง ซึ่งปรากฏอยู่ในข้อกำหนดจากการประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉินฯ ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นแทนที่รัฐบาลจะชี้แจงประชาชนทันที หากมีความโปร่งใสสามารถชี้แจงได้ ตนไม่คิดว่าประชาชนต้องไปสร้างข่าวอะไรขึ้นมา

ในทางกลับกันหากรัฐบาลสามารถนำเสนอข่าวสารได้ครบถ้วนก็จะทำให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้อง แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เช่น เรื่อง Rappid Antigen Test หรือ Antigen Test Kits แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตัวเองที่บอกว่าตรวจแล้วไม่ถือเป็นการติดเชื้อ เพราะไม่อยู่ในระบบ ปรากฏว่าเมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ต่อว่ารัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงไปมา หลายต่อหลายครั้ง ถามว่าเป็นความผิดของประชาชนหรือไม่ ที่ประชาชนรู้สึกไม่ไว้วางใจข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ซึ่งประชาชนต้องแสวงหาข้อเท็จจริงและปะติดปะต่อเอง ทำให้มีข้อมูลที่ถูกบ้างผิดบ้างแต่เจตนาไม่ใช่การสร้างข่าวปลอม

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน หลายครั้งมีหน่วนงานหนึ่งพูดอีกอย่างและอีกหน่วนงานหนึ่งพูดอีกอย่าง ถามว่ารัฐบาลเคยจัดการปลอมที่เกิดขึ้นกับฝั่งตัวเองหรือไม่ รัฐบาลไม่เป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดการข่าวปลอมฝั่งตัวเองด้วยซ้ำ แล้วมีหน้ามาการจัดการกับประชาชนหรืออย่างไร ตนคิดว่าการอ้างหรือการจัดการข่าวปลอม คือ การใช้กฎหมายเพื่อบีบบังคับประชาชนและใช้เรื่องนี้ปกป้องรัฐบาลจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมากกว่า เรากลัวโควิด-19 มากพอแล้ว อย่าให้เราต้องกลัวการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ห่วยๆ ของรัฐบาล

วันนี้สังคมไทยขับเคลื่อนได้การด่า และต้องยอมรับว่าหลายครั้งก็ได้ผล เพราะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนท่าทีหลายอย่าง ซึ่งบางเรื่องก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ภาพรวมทั้งหมดยังคงแย่มากและล้มเหลว ทั้งนี้ ขอให้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้านในการตรวจสบการทำงานของรัฐบาลอย่างถึงพริกถึงขิงแน่นอน