5 แนวร่วมบุคลากรแพทย์ ยื่นจม.เปิดผนึกถึงสถานทูตสหรัฐ จับตาจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ 1.54 ล้านโดส

เครือข่ายบุคลากรแพทย์ ยื่นจม.เปิดผนึกถึงสถานทูตสหรัฐฯ จับตาจัดสรรไฟเซอร์ 1.54 ล้านโดสที่จะได้รับบริจาคของรัฐบาล เผยอยากให้เกิดความโปร่งใส

วันที่ 27 ก.ค.64 เมื่อเวลา 10.30 น.ที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. นพ.ณัฐ ศิริรัตน์บุญขจร ตัวแทนเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมตัวแทนจาก Nurses Connect, ภาคีบุคลากรสาธารณสุข และหมอไม่ทน เดินทางมายื่นหนังสือเปิดผนึกจากเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์​ถึงอุปทูต ไมเคิล ฮีธ รักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์มีความกังวลต่อวัคซีนไฟเซอร์​ 1.54 ล้านโดสที่ทางการสหรัฐบริจาคให้บุคลากรทางการแพทย์ของไทย และหาแนวทางผลักดันให้เกิดความโปร่งใส เพื่อให้วัคซีนดังกล่าวถึงบุคลากรด่านหน้า และประชาชนกลุ่มเสี่ยง

นพ.ณัฐศิริรัตน์ อ่านจดหมายเปิดผนึกฉบับภาษาอังกฤษและแปลเป็นภาษาไทย ใจความว่า พวกเราเป็นกลุ่มของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีความกังวลเป็นอย่างมากต่อความโปร่งใสของรัฐบาลในการจัดสรรวัคซีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัคซีนไฟเซอร์ 1.54 ล้านโดสที่ได้รับการบริจาคมาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับคำแนะนำว่าควรให้กับกลุ่มเสี่ยงก่อน เช่น บุคลากรด่านหน้า

แผนการจัดการวัคซีนที่ไม่โปร่งใสและการจัดการที่ด้อยประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้เกิดการระบาดของโควิดอย่างรุนแรง พวกเราบุคลากรด่านหน้าจำเป็นต้องรับภาระอันหนักหน่วง โดยที่ยังไม่ได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ปัจจุบันมีบุคลากรด่านหน้าราว 800 คนที่ติดเชื้อไปแล้ว ทั้งที่หลายคนก็ได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 โดส

พวกเราขอขอบคุณทางสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างยิ่งที่ได้บริจาควัคซีน 1.54 ล้านโดสให้กับประเทศไทย แต่ทว่าพวกเราไม่มั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะสามารถจัดสรรวัคซีนให้ได้ตามกลุ่มเป้าหมายที่ทางสหรัฐอเมริกาได้คำนึงไว้ ช่วงแรกกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าวัคซีนที่ได้รับการบริจาคมาจะถูกฉีดเป็น booster dose สำหรับบุคลากรที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว โดยมีจำนวนผู้ที่จะได้รับวัคซีนในส่วนนี้ 700,000 คน และจากนั้นจึงให้บุคคลกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุผู้มีโรคประจำตัว ผู้มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เป็นต้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ก.ค.64 ทางกระทรวงสาธารณสุขแจ้งตัวเลขว่าจำนวนวัคซีนที่ได้แบ่งไว้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์นั้นมีเพียง 500,000 โดส นอกจากนั้นในเวลาที่ผ่านมา บุคลากรทางการแพทย์ถูกโน้มน้าวให้ฉีด booster dose เป็นวัคซีน viral vector ไปก่อน เนื่องจากวัคซีน mRNA ยังไม่ถูกจัดสรรและไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอน ทำให้มีบุคลากรส่วนหนึ่งได้รับ booster dose เป็น viral vector ไปแล้ว

พวกเรามีความกังวลอย่างยิ่งว่า ความคลุมเครือและไม่แน่นอนในการจัดสรรวัคซีนของรัฐบาลนี้ จะเอื้อให้เกิดช่องว่าง ทำให้มีผู้ฉวยโอกาสได้รับวัคซีนซึ่งไม่ตรงกับเจตจำนงของการบริจาคของทางสหรัฐอเมริกา

ดังนั้นจึงขอเรียนให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาทราบถึงความกังวลของพวกเราผ่านทางหนังสือฉบับนี้ และหาแนวทางในการผลักดันให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรมอย่างที่สุดในการจัดสรรวัคซีนที่ได้รับการบริจาคมาของรัฐบาล เพื่อที่กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงที่สุด เช่น บุคลากรทางการแพทย์หรือบุคคลอันเปราะบางจะได้รับการให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และเพื่อให้วัคซีนเหล่านั้น ไม่ตกเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนของกลุ่มคนที่ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ

จากนั้น ทางเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา​ ได้เป็นตัวแทนรับมอบจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว

นพ.ณัฐ กล่าวว่า ตัวแทนบุคลากรทางการแพทย์มีความกังวลเป็นอย่างมากต่อความโปร่งใสของรัฐบาลไทยในการจัดสรรวัคซีน ซึ่งหลังจากที่มีข่าวลือออกมาในหลายประเด็นจนเกิดความกังขาว่า วัคซีนอาจถูกจัดสรรให้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าเผชิญโรคก่อน จึงอยากให้ทางสถานทูตทราบถึงปัญหาความไม่โปร่งใสดังกล่าว นอกจากนี้การจัดสรรวัคซีนต้องการให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน ตรงไปตรงมาว่าวัคซีนได้ถูกฉีดให้กับกลุ่มบุคคลใดบ้างเป็นจำนวนเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ควรจะได้รับการฉีดวัคซีนมีรายชื่อตกหล่นไป และเพื่อให้เกิดความชัดเจน

ด้านน.ส.ปาณิสรา ปานมุนี ตัวแทนเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่อยากจะพูดคือบุคลากรทางการแพทย์ไม่มีเครื่องมือที่จะใช้ในการป้องกันโรค ไม่สามารถปกป้องชีวิตตนเองจากอันตราย ไม่ได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และยังมีบุคลากรหลายคนที่ยังไม่ได้รับค่าเสี่ยงภัย ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ป้องกันโรค เช่น ชุดพีพีอี (PPE)​ เอง เปรียบเสมือนได้ว่ารัฐบาลกำลังส่งบุคลากรด่านหน้าหลายๆท่านไปตาย.

สำหรับเนื้อหาในจม.เปิดผนึกถึงสถานทูตสหรัฐฯนั้นมีใจความว่า

จดหมายเปิดผนึกจากเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา

เรียน อุปทูต ไมเคิล ฮีธ

พวกเราเป็นกลุ่มของบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งมีความกังวลเป็นอย่างมากต่อความโปร่งใสของรัฐบาลในการจัดสรรวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัคซีน Pfizer จำนวน 1.54 ล้านโดสที่ได้รับการบริจาคมาจากสหรัฐอเมริกาซึ่งได้รับคำแนะนำว่าควรให้กับกลุ่มเสี่ยงก่อน เช่น บุคลากรด่านหน้า

แผนการจัดการวัคซีนที่ไม่โปร่งใส และการจัดการที่ด้อยประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้เกิดการระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง พวกเราบุคลากรด่านหน้าจำเป็นต้องรับภาระอันหนักหน่วงโดยที่ยังไม่ได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ปัจจุบัน มีบุคลากรด่านหน้าราว 800 คนที่ติดเชื้อไปแล้ว ทั้งที่หลายคนก็ได้รับวัคซีนครบทั้งสองโดส

พวกเราขอขอบคุณทางสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างยิ่งที่ได้บริจาควัคซีนจำนวน 1.54 ล้านโดสให้กับประเทศไทย แต่ทว่า พวกเราไม่มั่นใจว่า รัฐบาลไทยจะสามารถจัดสรรวัคซีนให้ได้ตามกลุ่มเป้าหมายที่ทางสหรัฐอเมริกาได้คำนึงไว้

ในช่วงแรก กระทรวงสาธารณสุขได้กล่าวว่า วัคซีนที่ได้รับการบริจาคมาจะถูกฉีดเป็น booster dose สำหรับบุคลากรที่ได้รับวัคซีนครบสองเข็มแล้ว โดยมีจำนวนผู้ที่จะได้รับวัคซีนในส่วนนี้ จำนวน 700,000 คน และจากนั้นจึงให้บุคคลกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ผู้มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เป็นต้น

จากนั้น เมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม พ.ศ. 2564 ทางกระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งตัวเลขว่าจำนวนวัคซีนที่ได้แบ่งไว้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์นั้นมีเพียง 500,000 โดส นอกจากนั้น ในเวลาที่ผ่านมา บุคลากรทางการแพทย์ได้ถูกโน้มน้าวให้ฉีด booster dose เป็นวัคซีน viral vector ไปก่อนเนื่องจากวัคซีน mRNA ยังไม่ถูกจัดสรรและไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอน ทำให้มีบุคลากรส่วนหนึ่งได้รับ booster dose เป็น viral vector ไปแล้ว

พวกเรามีความกังวลอย่างยิ่งว่า ความคลุมเครือและไม่แน่นอนในการจัดสรรวัคซีนของรัฐบาลนี้ จะเอื้อให้เกิดช่องว่าง ทำให้มีผู้ฉวยโอกาสได้รับวัคซีนซึ่งไม่ตรงกับเจตจำนงของการบริจาคของทางสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น พวกเราจึงขอเรียนให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ทราบถึงความกังวลของพวกเราผ่านทางหนังสือฉบับนี้ และหาแนวทางในการผลักดันให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรมอย่างที่สุดในการจัดสรรวัคซีนที่ได้รับการบริจาคมาของรัฐบาล เพื่อที่กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงที่สุด เช่น บุคลากรทางการแพทย์หรือบุคคลอันเปราะบางจะได้รับการให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และเพื่อให้วัคซีนเหล่านั้น ไม่ตกเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนของกลุ่มคนที่ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ

ขอแสดงความนับถือ

เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์
26 กรกฏาคม พ.ศ. 2564