‘ก้าวไกล’ ชี้งบ 65 ใช้ฟุ่มเฟือยไม่สนวิกฤต ซื้อรถหรู 14 คัน ตู้แช่ไวน์ เครื่องคั้นผลไม้แยกกาก

ก้าวไกล แจงความไม่ชอบมาพากลงบ 65 เจอใช้งบฟุ่มเฟือย ขอซื้อรถหรู 14 คัน ผ้าม่าน ตู้แช่ไวน์ เครื่องคั้นผลไม้แยกกาก เครื่องอุ่นจาน

เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2564 ที่ทำการพรรคก้าวไกล อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกลแถลงถึงปัญหาและความไม่ชอบมาพากลในการพิจารณางบประมาณ 65 นำโดย​นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ และนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

โดยนายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่างพ.ร.บงบประมาณ 65 ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล วันนี้กมธ.ชุดใหญ่ได้พิจารณาครบทุกกระทรวงแล้ว ตนในนามของพรรคโดยพบว่าการทำงานกมธ.ชุดใหญ่พบว่าการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลที่ให้กับหน่วยงานราชการต่างๆ มีความล้มเหลว และไม่สอดคล้องสถานการณ์ในปัจจุบัน

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประชาชนต้องเผชิญกับวิกฤตเรายังเห็นหน่วยงานราชการที่ของบไปใช้อย่างฟุ่มเฟือยไม่จำเป็น เช่น กระทรวงการต่างประเทศที่ของบจัดซื้อรถให้ท่านทูตคันละ 3-4 ล้านบาท จำนวน 14 คัน ขอซื้อผ้าม่าน เครื่องอุ่นจาน รวมไปถึงงบปรับปรุงสนามเทนนิส กระทรวงวัฒนธรรม ที่ของบกิจกรรมท้องถิ่นของชายแดนภาคใต้ แต่กลับนำมาจัดงานแฟชั่นวีคในกรุงเทพฯ

ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวอีกว่า เรายังพบว่ามีการใช้อำนาจทางการเมืองเข้าไปแทรกแซงการทำงานของราชการเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับฐานเสียงของพรรคพวกของตนเอง อย่างเช่นในห้องประชุมที่มีการถามถึงการจัดสรรวัคซีนว่าทำไมมีบางจังหวัดที่ได้รับวัคซีนในส่วนที่สูง ทั้งที่ไม่ใช่พื้นที่สีแดงไม่ใช่จังหวัดเป้าหมายหลักในการท่องเที่ยว ทั้งยังเป็นที่กังขาว่าเป็นระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาที่มีบางพรรคการเมืองใช้อิทธิพลที่มีอยู่ในกระทรวงนั้นนั้นเพื่อให้จังหวัดของตนเองได้รับวัคซีนที่มากกว่าเพื่อคะแนนความนิยมของตนเองหรือไม่ แต่ปรากฏว่าผู้บริหารของหน่วยงานนั้นก็ไม่สามารถให้ความชัดเจนและหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อว่า มีการถามถึง ส.ก. 30 คนที่ถูกตั้งมาในยุคคสช.ว่าหายไปไหน ผู้ว่าฯกทม.ได้บอกว่า ตอนนี้สก.เหลือ 27 คน เนื่องจากเสียชีวิตไป 3 คน และไม่ทราบว่าสก.ที่เหลือทำอะไรบ้าง แต่จะหาคำตอบมาให้ว่าทำอะไรและอยู่ที่ไหน และในที่ประชุมกมธ.มีการใช้อำนาจปิดตาปิดปากไม่ให้ถามเช่นในส่วนของกองทัพที่มีการปิดกั้นไม่ให้พูดในบางประเด็น และมีกมธ.หลายท่าน โดยเฉพาะประธานกมธ.ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นองครักษ์พิทักษ์เหล่าทัพต่างๆ

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาถ้าเรามองว่าคอรัปชั่นคือโรคร้ายวัคซีนที่ดีที่สุดคือการเปิดเผยความโปร่งใส เราขอเรียกร้องให้มีการเปิดเผยให้โปร่งใสในขั้นตอนการพิจารณาที่เพิ่มมากขึ้นคือ 1.มีการจัดเอกสารฝ่ายเอ็กซ์เซล 2.เอกสารที่หน่วยงานมอบให้กับกรรมาธิการและอนุ ใช้ในการพิจารณาต้องส่งล่วงหน้าและสามารถอัพโหลดเป็นไฟล์ดิจิตอลได้

และ3.การประชุมกรรมาธิการ อนุกมธ. ต้องถ่ายทอดสดช่องทางใดช่องทางหนึ่งและบันทึกเก็บไว้ได้ ทั้งนี้เรามองว่ามีบางโครงการที่ควรถูกตัดงบเช่น โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับเมียนมา โครงการแข็งริมชายฝั่งและโครงการสนับสนุนกิจกรรมหลวง ของกระทรวงมหาดไทย โดยพรรคก้าวไกลเราให้ความสำคัญในการจัดสรรคืนให้กับงบที่เป็นสวัสดิการแก่ประชาชน

ด้านนายจิรัฏฐ์ กล่าวว่า ในการพิจารณาในชั้นอนุกมธ.จะเห็นได้ว่าหน่วยงานราชการยังจัดทำงบประมาณแบบปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เราเผชิญกับสถานการโรคระบาด และยังคิดว่าหน่วยงานต้องใช้ของดีที่สุด แต่ในบางพันธกิจก็ไม่จำเป็นต้องดีที่สุดก็ได้ ทั้งนี้ ยังมีปัญหาในเรื่องของการโอนงบประมาณไปใช้อย่างผิดหลักการของฝ่ายความมั่นคง เช่น กองทัพที่มีการโอนงบจากการซื้อยุทโธปกรณ์ไปจ่ายค่าสาธารณูปโภค และในส่วนของกรมฝนหลวงที่ได้งบซื้อเครื่องเดินอากาศมาแล้ว แต่โอนงบไปจ่ายค่ารับรองการประชุม สาธารณูปโภค และตกแต่งอาคารสถานที่แทน

จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ

นายจิรัฏฐ์ กล่าวต่อว่า หน่วยงานราชการยังมีการจัดตั้งหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนทำหน้าที่ซ้ำกัน เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) ที่ทำหน้าที่ทั้งเฝ้าระวังโควิด จัดการปัญหายาเสพติด จัดการแรงงานข้ามชาติ จัดการราคาพืชผลที่ตกต่ำ ซึ่งทำทุกภารกิจซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นแล้วยังมาของบเพื่อทำบิ๊กเดต้าอีก และปัญหาที่เจอคือการมียุทธศาสตร์ชาติทำให้มีงบประมาณที่สูงผิดปกติเพราะยุทธศาสตร์ชาติที่ระบุให้หน่วยงานต่างๆ ทำนั้นมันซ้ำซ้อนกัน

นายจิรัฏฐ์ กล่าวอีกว่า งบประมาณปีนี้หน่วยงานไม่ได้จัดงบให้เหมาะสมกับสถานการณ์โรคระบาด แต่เป็นการจัดทำงบประมาณแบบปกติทำให้เราเห็นว่าการขอซื้อบางอย่างเราเห็นแล้วเสียความรู้สึก เช่น ซื้อเครื่องอุ่นจาน เครื่องคั้นผลไม้แบบแยกกาก ตู้แช่ไวน์ ส่วนกรมประชาสัมพันธ์จะจัดทำแอปพลิเคชันแอนตี้เฟคนิวส์ ในงบ 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซ้ำซ้อนกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

“อีกทั้งสำนักเลขาทำเนียบรัฐบาลจะปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยของทำเนียบโดยใช้งบกว่า 50 ล้านบาท มองว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเลื่อนออกไปก่อนได้ เพราะด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน แต่สุดท้ายแล้วคณะอนุกมธ.ก็เลือกตัดงบแบบล่ำซำคือให้หน่วยงานเป็นคนเลือกตัดงบเอง ซึ่งปัญหาที่พบมองว่าเกิดจากความบกพร่องของกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้” นายจิรัฏฐ์ กล่าว

ขณะที่นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมี 4 ข้อข้องใจในการพิจารณางบประมาณคือ 1.เข้าห้องเย็น คือการเจรจานอกรอบแบบลับๆ ของหน่วยงานที่จะเข้าพบกมธ. ซึ่งการเจรจาแบบนี้ก็ห้ามยาก 2.การขู่เชือดหนัก กรณีนี้มีบ้างแต่ไม่มาก เช่น กมธ.บางท่านขู่จะตัดงบ 20% หรือ 50% พอข้าราชการเจอแบบนี้ก็กลัวก็มีโอกาสให้เรียกเข้าพบเพื่อขอเคลียร์ ซึ่งทางพรรคมองว่าการขู่หนักแบบนี้มันเกินงามไป

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ

3.ของข้าใครอย่าแตะ ถือเป็นความสุดโต่ง ซึ่งงบประมาณต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะมีบางกรมบางหน่วยงานที่มีองครักษ์มาปกป้องแตะไม่ได้เลย และ4.ขอทอนคืน คือพรรคเราเหนื่อยใจมาก เพราะพรรคพยายามตัดลดไขมันแล้ว และหน่วยงานเองก็ยอมตัดลดแล้ว แต่มีกมธ.บางท่านที่อยากเอาใจหน่วยงานเสนอให้ไม่ต้องปรับลด แล้วใช้เสียงข้างมากดันผ่านการตัดได้แล้วทอนคืนไปมันถูกต้องแล้วหรือไม่