พิธา จี้เปิดสัญญา ฉ.เต็ม “รัฐบาล-แอสตร้า” ลั่นถ้าโปร่งใส ปชช.จะได้รู้ว่าทำไมไทยจ่ายแพงกว่า

‘พิธา’ จี้เปิดสัญญาฉบับเต็ม “รัฐบาล-แอสตร้าเซนเนก้า” เผยราคาในยุโรปโดสละ 112 บาท ลั่นหากโปร่งใส ประชาชนจะได้รู้ความจริงว่าไทยจ่ายแพงกว่าเพราะอะไร

เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ได้ทวงถามสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยและบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และสัญญาการจองวัคซีนล่วงหน้าฉบับเต็มโดยไม่มีการปกปิดข้อมูล

สืบเนื่องจากที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอดูสัญญาและเอกสารดังกล่าว ซึ่งพบว่ามีการเซ็นเซอร์คาดดำในเอกสารเต็มไปหมด ทั้งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดจำนวนโดสการสั่งซื้อ การส่งมอบ และราคาซื้อในสัญญา ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลงเรื่องระยะเวลาส่งมอบวัคซีนและรายละเอียดกำลังการผลิตวัคซีนจากบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์

นายพิธา กล่าวว่า ตนอยากสอบถามเกี่ยวกับสัญญาวัคซีนกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และต่อเนื่องจากการแถลงของปลัดกระทรวงสาธารณสุขถึงปัญหาการกลายพันธุ์และการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์นี้ ที่มีการระบาดถึง 50% ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งการปรับแผนการใช้วัคซีนซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า โดสัญญาวัคซีนที่ท่านได้ส่งให้กับนายวิโรจน์ พบว่าสัญญาที่ได้รับเป็นสัญญาตาบอด เพราะมีการเซ็นเซอร์และถมดำเต็มไปหมด รวมถึงพบว่าในสัญญาฉบับนี้มีการสั่งซื้อจำนวนวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส

นายพิธา กล่าวต่อว่า วัคซีนที่ไทยสั่งซื้อจากแอสตร้าเซนเนก้านั้น มีจำนวนทั้งหมด 61 ล้านโดส ดังนั้นนอกจากสัญญาซื้อวัคซีน 26 ล้านโดสที่ได้รับมาซึ่งเป็นสัญญาตาบอดนั้น จำเป็นต้องขอให้ส่งมาใหม่ และขอให้ส่งสัญญาที่สั่งซื้อวัคซีนอีกจำนวน 35 ล้านโดสมาด้วย แบบไม่มีการถมดำ

“ข้อมูลทุกอย่างที่เป็นเรื่องของความโปร่งใส เพื่อเอาไปใช้สำหรับวางแผนต่อหรือทำให้ประชาชนไม่เกิดความสับสนในข่าวนั้น ข้อมูลเหล่านั้นถูกขีดฆ่าโดยการถมดำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจำนวน ระยะเวลาส่งมอบ เรื่องของราคา เงินอุดหนุน ภาษี และอื่นๆ ทำให้ผมไม่สามารถทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบได้”

“ในทางตรงกันข้าม ผมถือสัญญาอีกหนึ่งฉบับที่เป็นสัญญาระหว่างสหภาพยุโรปและแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งถูกเผยแพร่โดยสื่อมวลชนอิตาลีและสื่อมวลชนจากสหรัฐอเมริกา ในสัญญาฉบับนี้ได้บอกชัดเจนว่ามีข้อมูลอะไรบ้าง เช่น เรื่องจำนวนที่ระบุไว้ว่ามี 300 ล้านโดส ด้วยงบประมาณ 870 ล้านยูโร คิดเฉลี่ยต่อโดสเป็นจำนวนเงิน 2.9 ยูโรต่อโดส หรือคิดเป็นเงินไทยคือโดสละ 112 บาท”

“ซึ่งข้อมูลบอกทั้งหมดว่าจะชดใช้คืนเงินอุดหนุนที่สหภาพยุโรปจ่ายไปคืนมาในรูปแบบของวัคซีน โดยจำเป็นต้องจ่ายคืน 2 ใน 3 ภายใน 5 วันของการผลิต มีเรื่องของการคิดต้นทุน วิธีการคิดภาษี วิธีการคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งหมดนี้คือความโปร่งใสที่เกิดขึ้น แล้วทำให้ประชาชนเกิดความอุ่นใจ และจะทำให้คนหลายๆ คนมาช่วยคิดกันได้”

นายพิธา กล่าวอีกว่า ตกลงเงินภาษีของประชาชนที่เอาไปใช้ ทั้งในงบประมาณและพ.ร.ก.เงินกู้ฯ ที่ใช้ไปเกือบ 600 ล้านบาท ส่งให้กับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ มีสัญญาอะไรบ้าง หากเปิดสัญญาทั้งหมดออกมาจะช่วยทำให้เกิดความโปร่งใส จะได้รู้ว่าจะส่งมอบวัคซีนได้เมื่อไหร่ และจะได้รู้ข้อมูลที่จำเป็นอื่นๆ ในการมาวางแผนทำงานต่อได้ หากเปิดสัญญาออกมาทั้งหมดเหมือนกรณีสหภาพยุโรป

“จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าเมื่อต้นปี มีความพยายามอยากจะไปให้ถึงการเป็นศูนย์กลางวัคซีนของประเทศแถบอาเซียนในการผลิตวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า แต่วันนี้ประเทศไทยต้องรับการบริจาคจากประเทศญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส ทำให้เกิดข้อกังขาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และจากสัญญาที่เปิดเผยออกมาในกรณีของสหภาพยุโรปและของประเทศบราซิล ระบุว่าข้อมูลอะไรที่เป็นความลับที่เปิดเผยไม่ได้”

“ขณะที่เอกสารที่ส่งมาให้กับนายวิโรจน์นั้น ระบุไว้ว่าแอสตร้าเซนเนก้าขอสงวนสิทธิ์เพื่อรักษาความลับในเชิงธุรกิจ ซึ่งในสัญญาก็พูดชัดว่าสัญญาในเชิงธุรกิจมีอะไรบ้างก็คือสูตรการผลิตวัคซีน ไม่ได้เป็นเรื่องของราคา ไม่ได้เป็นเรื่องของจำนวน รวมทั้งเงื่อนไขอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสนใจของสาธารณะที่เปิดเผยไม่ได้ แต่หากเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ เขาก็ไม่ขัดข้องที่จะสามารถให้เปิดเผยได้”

นายพิธา กล่าวต่อว่า ตราบเท่าที่ไม่มีการเปิดเผยราคาในสัญญา หากนำงบประมาณจัดซื้อวัคซีนหารด้วยจำนวนโดสแล้วก็จะเห็นว่า มีส่วนต่างราคาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าของไทยกับราคาวัคซีนของสหภาพยุโรป ส่วนต่างราคาตรงนี้ อาจเป็นอัตราของค่าเงินก็ได้ อาจมาจากภาษีก็ได้ อาจจะเป็นต้นทุนบางอย่างในการนำเข้ามาก็ได้ ซึ่งตนไม่ได้ต้องการคิดในเชิงลบว่าส่วนต่างนั้นมีการหาผลประโยชน์จากซากศพของประชาชนหรือไม่ โดยถ้าเห็นข้อมูลทั้งหมดคงจะชัดเจนว่าราคาที่แตกต่างกันเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่