89 ปี อภิวัฒน์สยาม : “ณัฐวุฒิ” ถาม “รัฐพันลึก” จะต้านกระแสเปลี่ยนแปลงได้แค่ไหน หวั่นเป็น “รัฐพังลึก”

วันที่ 24 มิถุนายน 2564 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในวาระครบรอบ 89 ปี การอภิวัฒ์สยาม 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎรว่า

89 ปี 2475 อย่าให้กลายเป็นรัฐพังลึก

ย่ำรุ่งวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตย หลายคนบอกว่า ณ วินาทีนั้นคือจุดสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่อีกนัยยะหนึ่งก็เป็นการเริ่มต้นการต่อสู้ระหว่างเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมในสังคมไทยต่อเนื่องยาวนานจนถึงวันนี้ 89 ปี

ตัวละครเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เงื่อนไขบริบทอาจจะแตกต่าง แต่แกนกลางของการต่อสู้ยังเป็นเรื่องนี้และยังคงหาข้อยุติไม่ได้

ปฐมบทของความพยายามเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไม่ได้เริ่มต้นขึ้นโดย “คณะราษฎร” หากแต่เริ่มต้นขึ้นโดยคณะบุคคลที่ถูกเรียกในบรรทัดประวัติศาสตร์ว่าคณะร.ศ.130

คนกลุ่มนี้เป็นนายทหารเข้ารับราชการจากการสำเร็จการศึกษาในโรงเรียนนายร้อย เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นแรกที่ลูกหลานสามัญชนสามารถเข้าเรียนได้ เมื่อลูกหลานสามัญชนเข้าถึงองค์ความรู้สำเร็จการศึกษาเดินหน้าในชีวิตราชการก็พบว่า ภายใต้โครงสร้างสังคมที่เป็นอยู่ ภายใต้กลไกราชการที่เต็มไปด้วยระบบลูกท่านหลานเธอเจ้าขุนมูลนาย แทบไม่เหลือพื้นที่สำหรับอนาคตของตัวเอง ตลอดจนเห็นความไม่เป็นธรรมในหลายมิติ จนถึงที่สุดก็เกิดความคิดในการเปลี่ยนแปลงขึ้น

แม้ว่าคณะร.ศ.130 ยังมิทันได้ก่อการก็ถูกจับกุมคุมขังเสียก่อน แต่นั้นกลายเป็นสารตั้งต้นของอีกหลายปีต่อมาและการอภิวัฒน์สำเร็จลงโดย “คณะราษฎร”

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ 89 ปีผ่านไป การต่อสู้เรื่องประชาธิปไตยยังคงดำรงอยู่ และเมื่อปีที่ผ่านมาปรากฎกลุ่มบุคคลประกาศตัวเองในนาม “คณะราษฎร” ขึ้นมาอีกครั้ง เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสังคมไทย

ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือขบวนการขับเคลื่อนทางการเมืองเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีจุดร่วมอย่างสำคัญ 2-3 ข้อ

ประการแรก เป็นพลังที่เกิดขึ้นจากคนหนุ่มสาว

ประการที่สอง เป็นคนหนุ่มสาวที่เข้าถึงองค์ความรู้ เข้าถึงระบบการศึกษา และประการที่สาม คนหนุ่มสาวเหล่านี้มองไปข้างหน้าแล้วไม่เห็นอนาคตของตัวเองในสังคมที่ดำรงอยู่

“คณะร.ศ.130” จากลูกชาวบ้านเข้าโรงเรียนนายร้อย

“คณะราษฎร2475” ได้ทุนไปเรียนเมืองนอกเมืองนา กำลังจะกลับมาบ้านเกิดแต่ไม่เห็นอนาคตของตัวเองที่นั่น

คณะราษฎรในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน คนเหล่านี้เติบโตขึ้นบนซากปรักหักพังจากความขัดแย้งทางการเมืองและการต่อสู้อย่างเข้มข้นแหลมคมตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ซากปรักหักพังเหล่านี้ แล้วพบว่าไม่มีอะไรหยิบฉวยได้เลยเพื่อเดินไปสู่อนาคต จึงตัดสินใจที่จะเรียกร้องและสร้างอนาคตของตัวเอง

ตลอดระยะเวลา 89 ปี ฝ่ายอนุรักษ์นิยมพยายามสร้างกระบวนการมัดย้อมทางความคิดให้พัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยเกิดข้อสะดุดติดขัด ให้บุคลากรในวิถีทางประชาธิปไตยกลายเป็นคนไร้คุณภาพ ฉ้อฉล ทุจริต ให้ภาพการเมืองในระบบกลายเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้ ไม่สามารถจะหาทางออกให้กับความขัดแย้งในสังคมได้

พร้อม ๆ กันนั้นก็ได้สร้างกลไกราชการขึ้นมาให้มีอิทธิพล มีความชอบธรรม สะอาดกว่า ซื่อสัตย์กว่า และควรค่าแก่การเชื่อถือมากกว่ากลไกการเมืองซึ่งมาจากอำนาจของประชาชน

เครือข่ายอนุรักษ์นิยมใช้เวลาถึง 25 ปีจาก 2475 ในการสร้างกลไกอำนาจและโค่นล้มทำลายรากฐานของ “คณะราษฎร” แล้วก็ใช้เวลาอีกหลายสิบปีต่อจากนั้นสร้างอำนาจซ้อนรัฐให้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ถือกำเนิดวงจรอุบาทว์ทางการเมือง ทำให้การรัฐประหารกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้คำว่า “ประชาธิปไตย” อ่อนแอ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ ต้องใช้กลไกอำนาจนอกระบบนำพาประเทศตลอดมา

ยิ่งนานวันเครือข่ายที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ก่อร่างสร้างขึ้นก็มีอิทธิพลและมีความแข็งแรงมากขึ้นทุกที ๆ จนยากแก่การเปลี่ยนแปลง ยากแก่การเผชิญหน้าขึ้นท้าทาย กลุ่มชนชั้นนำ กลุ่มทุนกลไกราชการและองคาพยพที่เป็นผลผลิตของฝ่ายประชาชนที่ยอมตัวรับใช้เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ยกระดับของตัวเองเข้าไปอยู่ในชนชั้นนำโดยใช้ความรู้ความสามารถเป็นปฏิปักษ์ต่อวิถีทางประชาธิปไตย

เราจึงเห็นปัญญาชน เราจึงเห็นนักวิชาการ เราจึงเห็นนักการเมืองบางกลุ่มบางประเภทเป็นเครื่องมือของอำนาจนอกระบบเหล่านี้ เราเห็นเนติบริกร เราเห็นสื่อสารมวลชน และเราเห็นคนอีกหลายชนิดเดินเรียงแถวตามไปด้วยกัน

เครือข่ายอำนาจที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ถูกจับตามองจากฝ่ายเสรีนิยมมาโดยตลอด และเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา นักวิชาการกลุ่มหนึ่งก็พร้อมใจกันเรียกขานวิถีอำนาจนี้ว่า “รัฐพันลึก” หมายความว่า อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในประเทศไทยถูกกดทับด้วยอำนาจพิเศษอีกแบบหนึ่งซึ่งแฝงตัวอยู่ในกลไกราชการ กลุ่มทุน ชนชั้นนำ และองค์ประกอบอย่างที่ผมได้ชี้ให้เห็นแล้ว

“รัฐพันลึก” ที่ว่ามีอิทธิพลมากกว่า แข็งแรงกว่า สร้างความชอบธรรมในความรู้สึกของประชาชนได้มากกว่าอำนาจรัฐจากประชาชน เมื่อใดก็ตามที่ “รัฐพันลึก” หรือ “อำนาจซ้อนรัฐ” ไม่ต้องการหรือไม่ยอมรับอำนาจรัฐจากประชาชน ก็จะเกิดขบวนการโค่นล้มทำลายและฉากสุดท้ายคือการรัฐประหาร พูดได้ตรงไปตรงมาเลยว่ารัฐประหารแต่ละครั้งรวมกระทั่งรัฐบาล “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในปัจจุบัน คือผลผลิตของ “รัฐพันลึก” ที่ว่านั่นเอง

แต่ในท่ามกลางอำนาจผลประโยชน์และอิทธิพลที่บีบเพิ่มขึ้น ทุกอย่างก็เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการปะทะกันระหว่าง “รัฐพันลึก” กับพลังของฝ่ายเสรีนิยม ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างเงื่อนไขมาโดยตลอด

มาจนถึงขวบปีปัจจุบันซึ่งในทัศนะผมเห็นว่านี่คือสถานการณ์ที่แหลมคมที่สุดนับตั้งแต่ปี 2475 ที่พลังของฝ่ายประชาชน พลังของฝ่ายเสรีนิยม ลุกขึ้นมาแล้วก็เผชิญหน้ากับ “รัฐพันลึก”

ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าปลายทางของสถานการณ์นี้จะไปสู่จุดใด แต่ความเชื่อมั่นของผมเชื่อว่าถึงที่สุดบ้านเมืองนี้จะเดินหน้าไปสู่วิถีทางประชาธิปไตย เพราะกลุ่มพลังที่เกิดใหม่ หมายถึงคนหนุ่มสาวในปัจจุบันคือกลุ่มพลังที่แหวกฝ่าวงล้อมจารีตของสังคมไทยออกมายืนเรียกร้องอนาคตของตัวเอง คนกลุ่มนี้ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการมัดย้อมทางความคิดใด ๆ คนกลุ่มนี้ตั้งคำถามและท้าทายกับทุกขนบที่ไม่ได้ประกอบชอบด้วยเหตุผล

ถ้าคณะร.ศ.130 คณะราษฎร2475 คือคนหนุ่มสาวที่เข้าถึงองค์ความรู้ มองเห็นความจริง แต่ไม่เห็นอนาคตของตัวเอง คนหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน!

ประเด็นสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ การปรากฎขึ้นของพลังคนหนุ่มสาวได้มาบรรจบกับการขับเคลื่อนพลังของฝ่ายเสรีนิยมซึ่งแม้จะถูกกระทำและล้มลุกคลุกคลานมาตลอดเวลาก่อนหน้านี้ แต่ยังคงมีพลังและดำรงความมุ่งหมายในการต่อสู้อยู่

ในท่ามกลางสังคมที่ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้โดยเทคโนโลยีสารพัดรูปแบบ กลไกอำนาจรัฐใด ๆ ไม่สามารถจะปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลและความจริงของประชาชนได้ อำนาจ “รัฐพันลึก” ซึ่งเคยอยู่ลึกเกินสายตาของคนจำนวนมาก กำลังกลายเป็น “รัฐพันตื้น” ที่ผู้คนเห็นชัดเจนต่อเนื่องกันมาแล้วหลายปี

ถ้าใครคิดว่าถึงเวลานี้ “รัฐพันลึก” ยังคงซ่อนตัวอยู่อย่างมิดชิดในโครงสร้างสังคมไทยก็กำลังคิดผิดอย่างมหันต์ เพราะแท้ที่จริงแล้วกลไกอำนาจและโครงสร้างเหล่านี้ได้ปรากฎแสดงตัวต่อสายตาประชาชนทั้งในประเทศและทั่วโลกขึ้นแล้วทั่วกัน

ดอกผลจากการอภิวัฒน์ 2475 ได้สร้างคุณูปการให้กับสังคมไทยมากมาย แม้ว่ายังมีรอยบาดแผล แม้ว่ายังมีข้อถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่มาก แต่คุณูปการสำคัญที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ก็คือการประกาศหลักการให้อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชน

ผมจึงเห็นว่าการเดินทางระหว่างอุดมการณ์ของ “คณะราษฎร2475” ส่งต่อถึง “คณะราษฎร2563” จึงเป็นเรื่องเดียวกัน พลังของคนหนุ่มสาวคือพลังบริสุทธิ์ และการเรียกร้องอนาคตที่ดีกว่าของตัวเองเป็นความชอบธรรมที่ทุกคนทุกฝ่ายต้องรับฟัง พยายามทำความเข้าใจ

ผมปรารถนาให้ปีที่ 90 ของการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นปีประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในสังคมไทย แต่ถ้ามันไม่เกิดขึ้นผมก็เชื่อว่าการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป

สิ่งที่น่าสนใจก็คืออำนาจรัฐพันลึกจะยังคงยืนต้านทานกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน จะเกิดกระบวนคิดใหม่ในการยอมรับความเปลี่ยนแปลงทำให้โครงสร้างอำนาจอยู่ภายใต้หลักการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ทำให้ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกองค์กร ทุกสถาบัน อยู่ร่วมกันและเดินหน้าไปในวิถีทางที่อนาคตเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

หรือยังคงเดินหน้าใช้อำนาจรัฐพันลึกกดทับขัดขวางโค่นล้มทำลายพลังของการเปลี่ยนแปลงอยู่ต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้นมีข้อควรระวังอย่างสำคัญก็คือ “รัฐพันลึก” ที่พูดถึงจะกลายเป็น “รัฐพังลึก” ในที่สุด ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นสิ่งที่ผมห่วงใยมาก ๆ ก็คือมันจะต้องแลกมาพร้อมกับความสูญเสียอย่างร้ายแรงขึ้นอีกครั้งของประเทศไทย

การอภิวัฒน์ 2475 เกิดขึ้นตอนย่ำรุ่ง ไม่น่าเชื่อว่า 89 ปีผ่านไปสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของสังคมไทยก็ยังย่ำอยู่กับที่ สังคมนี้ไม่เคยมีโอกาสให้กลไกประชาธิปไตยแก้ไขปัญหาของตัวเอง สังคมนี้ไม่เคยมีพื้นที่ให้อำนาจอธิปไตยของประชาชนพยายามที่จะกำหนดอนาคตของตัวเองได้อย่างแท้จริง

แต่สังคมนี้กลับมีพื้นที่อันแน่นอนให้กับอำนาจนอกระบบ มีพื้นที่ที่ชัดเจนให้กับการรัฐประหาร มีพื้นที่ที่มั่นคงให้กับนักการเมืองนอกระบบการเลือกตั้งเข้ามามีสถานะ เข้ามามีบทบาท และอ้างความชอบธรรมในการเบียดบังอำนาจอธิปไตยของประชาชน

เราจึงต้องแบกรับการเมืองฉ้อฉลโดยการป้ายความผิดทั้งหมดให้กับนักการเมืองจากการเลือกตั้ง แต่อำนาจทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากกติกาบิดเบี้ยว หักหัวคิวอำนาจอธิปไตยของประชาชน กลับได้รับสถานะที่สูงกว่า เหนือกว่า เป็นคนดีกว่าตัวแทนของประชาชนที่แท้จริง

สิ่งที่ผมพูดมาคือการสะท้อนสภาพปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทั้งหมดต้องสิ้นหวัง เมื่อใดก็ตามที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นปัญหาพร้อม ๆ กัน เข้าใจปัญหาตรงกัน เมื่อนั้นแสงสว่างกำลังจะเกิดขึ้น ผมไม่ได้มีประสงค์ร้ายต่อบุคคล องค์กร หรืออำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ผมคิดว่าเราต้องแสดงความปรารถนาอย่างตรงไปตรงมาที่จะเห็นประเทศเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความแตกต่างที่ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ

ผมไม่ได้อยากเห็น “รัฐพันลึก” กลายเป็น “รัฐพังลึก” แต่ผมอยากจะให้กลุ่มคนที่ถืออำนาจรัฐอยู่คิดลึก ๆ ก่อนที่มันจะสายเกินไปแล้วอะไรต่ออะไรมันจะเสียหายมากไปกว่านี้ ถ้าเราทำลายความชอบธรรมของการอภิวัฒน์ 2475 ได้จริง สังคมไทยจะไม่ยืนอยู่ ณ จุดปัจจุบัน ถ้าเราต้านทานปฏิเสธ กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้จริง ประเทศไทยก็จะไม่เดินมาจนถึงวันปัจจุบัน ถ้าหากยังคงรักษาอำนาจอิทธิพลของ “รัฐพันลึก” ได้จริง ก็จะไม่กลายเป็น “รัฐพันตื้น” ที่ใครต่อใครเห็นกันไปทั่วเหมือนในปัจจุบัน

แนวทางเสรีนิยมตั้งแต่ 2475 ไม่ได้หมายความว่าจะถูกทุกอย่าง รูปการณ์ความคิดของ “รัฐพันลึก” ตลอดมาก็ไม่ใช่ว่าจะผิดเสียทุกเรื่อง แต่ถ้าทุกฝ่ายปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง ไม่พยายามเข้าใจหรือยอมรับมัน ผิดแน่ ๆ สู้กันมา 89 ปี ควรได้ข้อสรุปเสียทีนะครับว่าไม่มีทางที่ฝ่ายไหนจะได้รับชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่มีทางที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะโค่นล้มและกวาดล้างอีกฝ่ายให้สูญสลายไปจากประเทศไทยได้เลย

ถึงที่สุดก็ต้องอยู่ร่วมกันอยู่ดี แต่เมื่อคนยุคนี้ลุกขึ้นมาเรียกร้องสังคมที่เขาต้องการ ผมเห็นว่าไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ความคิดแบบใดก็ต้องรับฟัง เริ่มต้นสร้างอนาคตด้วยกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสสร.จากประชาชนคือการนับหนึ่งของสันติภาพอย่างแท้จริง