หอการค้า’ ปรับจีดีพี 2.3% รับเปิดประเทศ วอนเร่งแก้ซอฟต์โลน-พักทรัพย์พักหนี้

หอการค้า ปรับจีดีพี โตถึง 2.3% รับเปิดประเทศ วอนเร่งแก้ซอฟต์โลน-พักทรัพย์พักหนี้ ชี้ต่างชาติยังสนใจลงทุนในไทย

วันที่ 23 มิถุนายน 2564 เมื่อเวลา 10.00 น. สัมมนา หัวข้อ Empowering Thailand 2021 เคลื่อนอนาคตไทยด้วยการลงทุน โดยหนังสือพิมพ์มติชน ในรูปแบบไลฟ์สตรีมมิงทางเฟซบุ๊กของเครือมติชน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมเสวนา ในหัวข้อ “ลงทุนไทย เคลื่อนประเทศไทย” ว่า ในส่วนของความเห็นเรื่องการลงทุนภาครัฐนั้น ในเรื่องการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ควรทำให้เกิดขึ้น เพราะมีประโยชน์แก่ประเทศ แต่ในตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเยียวยา

นายสนั่นกล่าวว่า สำหรับแผน 120 วันเปิดประเทศ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้ แม้แต่สถานบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เองก็มองเห็นโอกาสว่ามีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว ถ้าปล่อยสินเชื่อไปตอนนี้ก็จะมีรายได้เข้ามา ขณะเดียวกัน กลุ่มสมาคมโรงแรม ประมาณ 38% เปิดกิจการทั้งหมด ส่วนกว่า 40% เปิดบางส่วน และประมาณ 20% ซึ่งถือว่าเยอะนั้น อยู่ในสถานะปิดสนิท ดังนั้น จะต้องหาทางที่จะต่อลมหายในส่วนที่ปิดสนิทให้ทัน เพราะเมื่อปิดไปทั้งเรื่องเชื้อโรค ความเสื่อมโทรม และการหาแรงงานใหม่ ก็จะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ จึงต้องทำการดูแลในส่วนนี้

นายสนั่นกล่าวว่า หอการค้าไทยจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติ (workshop) และทำการสำรวจอุปสรรคหรือปัญหาที่ผู้ประกอบการเหลี่านี้เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ทั้งๆ ที่รัฐบาล มีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 250,000 ล้านบาท และพักทรัพย์พักหนี้ 100,000 ล้านบาท จึงหาเหตุผลว่าทำไมผู้ประกอบกับกับสถานบันการเงินถึงเชื่อมกันไม่ติด และปัญหาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำเรื่องนี้ไปหารือกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแล้ว ก็รับทราบและเห็นด้วยกับปัญหาที่เสนอไป

นายสนั่นกล่าวว่า  รวมทั้งใน เวลา 14.00 น. วันนี้ (23 มิถุนายน) ก็จะเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมกับนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ในการหารือเรื่องนี้เช่นกัน เรากำลังเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ขณะนี้ต้องทำการเยียวยา และทำให้ผู้ประกอบการมีความพร้อม สร้างความแข็งแรงขึ้นมา ที่รองรับกับโอกาสเหล่านี้

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีความเชื่อว่าทำไมจำเป็นต้องเปิดประเทศ เป็นโจทย์ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันทำการบ้าน มันเป็นโอกาส ที่ผู้นำรัฐบาลกล้าตัดสินใจและต้องทำการสนับสนุนทุกเรื่อง อย่าไปตั้งเงื่อนไขก่อน และคิดว่าภาคเอกชนมีความพร้อมเสมอ ที่จะผลักดันและขับเคลื่อน รวมทั้งช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นด้วย ส่วนในช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รอบล่าสุด ที่ระบบเศรษฐกิจเสียไป 300,000 -500,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นโอกาสเข้ามาใหม่ๆ เช่น แผนการลงทุนของกระทรวงคมนาคม คิดว่า 1-2 ล้านบาท ทำได้แน่นอน และโอกาสก็จะตามมา ถ้าใครมีความพร้อมเปิดประเทศก่อน ประเทศนั้นจะได้รับโอกาส และได้เปรียบกว่าคนอื่น

“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่แล้วได้พบกับท่านประธานหอการค้าญี่ปุ่น พร้อมกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ แถลงแผนการเปิดประเทศในอีก 120 วัน ท่านประธานหอการค้าว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะคนญี่ปุ่นจำนวนมากลงทุนที่ประเทศไทย และยังเห็นเป็นโอกาสว่าไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนมาก ส่วนอุตสหกรรมที่ควรจะลงทุน จะเป็นประเภทที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเรื่องดิจิทัลทรานฟอร์มเมอร์ชั่นเป็นสิ่งที่นิยม

“ถ้าประเทศไทยยังดำเนินการล่าช้าในเรื่องนี้ก็จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติถดถอยไป ซึ่งเมื่อเมื่อเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่เข้ามา คนเก่งก้จะมีโอกาสที่จะมาแสดงฝีมือในประเทศไทย จึงต้องคิดให้เป็นระบบ อย่างมองเพียงแต่ปัญหา เพราะปัญหามีไวัสำหรับแก้ แต่โอกาสมีไว้ให้มองเห็นและคว้ามาให้ได้ อย่าปล่อยให้หลุดไป ต้องคิดและทำงานร่วมกัน อย่าไปตั้งเงื่อนไข” นายสนั่นกล่าว

นายสนั่นกล่าวว่า ส่วนการเปิดประเทศจะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2564 ขยายตัว 0.3% จากที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ประกอบด้วย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ตั้งไว้ 0.5-2.0% ทำให้ปีนี้อย่างน้อยจีดีพีจะขยายตัวเป็น 0.8-2.3% และจากที่คาดการณ์ว่าการส่งออกจะโตที่ 5-7% แต่เมื่อเปิดประเทศได้ การส่งออกจะโตเกิน 7% แน่นอน เพราะต่างชาติจะเดินทางเข้ามา ทำการสั่งซื้อสินค้าที่ไทย รวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่กำลังเติมโต ดังนั้น การเปิดประเทศในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดี

ทั้งนี้ การสัมมนาครั้งนี้ จัดขึ้นเนื่องในโอกาสที่หนังสือพิมพ์มติชนก้าวเข้าสู่ปีที่ 44 เมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนแนวทางที่จะทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า และช่วยกันผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไทยไปต่อ