‘ไทยไม่ทน’ บุุกทำเนียบฯ ประกาศมาไล่ “ประยุทธ์-รัฐบาล” ทำปชช.ใช้ชีวิตลำบาก

วันที่ 15 มิถุนายน 2564 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นำโดยนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ,นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช., นายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป.,นายเศวต ทินกูล อดีต ส.ส.ร.ปี 50 ,นายพงษ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง,นางพะเยาว์ อัคฮาด นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก แกนนำ นปช., นายนันทพงศ์ ปานมาศ แกนนำรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย, นายจอมพล รุ่งเรืองชูเลิศ หรือ จอมพลปฏิวัติ พร้อมคณะ ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนัก นายกรัฐมนตรี เพื่อเป็น “บันทึกความล้มเหลว” ของรัฐบาลในเรื่องต่างๆและรายงานต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ

โดยนายอดลุย์กล่าวว่า วันนี้ตนมาเพื่อจะแจ้งข่าวให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลได้รับทราบ วันนี้ตนมาไล่พลเอกประยุทธ์และรัฐบาล เพราะรัฐบาลทำให้ประชาชนทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมาก ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์เป็นผู้เขียนขึ้นมาทำให้เกิดปัญหา

ขณะเดียวกันเมื่อต้องการอยู่ในอำนาจต่อก็ปล่อยให้ covid 19 แพร่ระบาดถึง 3 รอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน รวมถึงกู้เงินแจกประชาชน ทำอย่างกับประชาชนเป็นขอทาน นอกจากนี้ยังมีเรื่องการแอบมาอ้างสถาบันฯ ในการใช้อำนาจโดนเฉพาะเรื่อง 112 ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

“ ผมเคยถามว่าทำไมไม่เอานายประยุทธ์เจียวก๊ก ออกมา ในขณะที่เรามีนายประสิทธิ์ เจียวก๊กแล้ว คนที่ทำไอโอทำทุกเรื่องที่เลวทรามทั้งหมด เอาไปขังไว้ เพราะคดีแค่คดโกงเป็นเรื่องเล็กกว่า เรื่องการทำไอโอ แต่เอาไปเก็บไว้ไม่ยอมให้พูด”

วันนี้เป็นวันดี เราถือโอกาสวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงตั้งกองทัพแล้วยึดเมืองจัน กู้ชาติกลับมา ทำให้เรามีสยามประเทศ และมีประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นวันนี้เป็นวันดี ตนขอพรจากพระสยามเทวาธิราช ให้ช่วยประชาชนด้วย อย่าปล่อยให้คนไร้สติ อย่างรัฐบาลประยุทธ์ มาปกครองบ้านเมือง ขอให้ช่วยประเทศชาติรอดพ้น ประชาชนได้กลับมามีชีวิตปกติเหมือนเดิม

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อวานนี้นายกรัฐมนตรีได้เข้าไปชี้แจง กรณีพ.ร.บ.เงินกู้ในการประชุม ส.ว. และได้ถามส.ว.ว่า มีใครไม่เชื่อผมบ้าง ให้ยกมือขึ้น ทั้งนี้เป็นที่ทราบอย่างชัดเจนว่า ส.ว. เว้น 6 คนที่เป็นโดยตำแหน่ง ส่วนที่เหลือทั้งหมดกำเนิดมาจากพลเอกประยุทธ์

“ พลเอกประยุทธ์คือบิดาของวุฒิสภา ดังนั้นในการโหวตเลือกพลเอกประยุทธ์จากเสียง 250 โหวตเลือกพลเอกประยุทธ์ถึง 249 คน ส่วนอีก 1 คนเป็นประธาน งดออกเสียงตามมารยาท”

ดังนั้น มันสะท้อนซึ่งวุฒิภาวะ ถ้าพลเอกประยุทธ์ ไปที่ตลาดสดทุกแห่ง ไปถามประชาชนว่า ใครเชื่อมั่นผมบ้าง ให้ยกมือขึ้น ตนเชื่อว่าจะมีคนยกมือกันพรึ่บ หรือมาถามประชาชนผู้ทุกข์ยากทั้งแผ่นดินว่าใครไม่เชื่อมั่นผมว่าให้ยกมือ ตนก็เชื่อว่าประชาชนพร้อมใจจะยกมือ

“ แต่ว่าในสภาทาส ต่างก็หัวหดไม่มีใครกล้าที่จะยกมือสวนพลเอกประยุทธ์เพราะพลเอกประยุทธ์คือบิดา ของวุฒิสภา เป็นผู้ให้กำเนิดวุฒิสภาชุดนี้”

ส่วนที่บอกว่าจะไม่ยุบสภาจะอยู่จนครบวาระนั้น พวกเราพูดชัดอยู่แล้วว่าหากพลเอกประยุทธ์ไปดีๆ ไปด้วยมโนธรรมสำนึก ประชาชนจะต้องมาขับไล่เช่นนี้หรือไม่ แต่พลเอกประยุทธ์เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ ตั้งแต่บอกว่าไม่ปฏิวัติก็ปฏิวัติ ไม่สืบทอดอำนาจ ก็สืบทอดอำนาจ บอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ บอกว่าจะปฏิรูปประเทศก็ไม่ปฏิรูป บอกว่าจะปราบโกง ก็ไม่ปราบโกง ดังนั้นที่บอกว่าไม่ยุบสภานั้นส่วนตัวเห็นว่าไม่น่าเชื่อเพราะไม่เคยพูดจริงสักอย่าง

นอกจากนี้พลเอกประยุทธ์ยังมีวาทะท้าทายประชาชน บอกว่ายิ่งไล่ก็ยิ่งสู้ ดังนั้นตนอยากบอกไปยังพลเอกประยุทธ์ ว่า พลเอกประยุทธ์คิดจะสู้กับใคร ที่ผ่านมาผมกำลังสู้กับใครอยู่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

“ คุณสู้กับประชาชนหรือคุณสู้กับใครอยู่ ที่ผมพูด ผมเข้าใจว่า พลเอกประยุทธ์ คงจะเข้าใจดีว่า ผมถามว่า คุณกำลังสู้กับใครอยู่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”

ดังนั้นจะอธิบายความอยากอะไรของตัวเอง ว่ายิ่งไล่ยิ่งสู้ ถ้ารัฐบาลที่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ เขาพูดเหมือนพลเอกประยุทธ์ บ้านเมืองก็คงถึงแก่การนองเลือดกันแล้ว แต่เขาต่างฝ่ายต่างก็เห็นว่า อะไรควรอะไรไม่ควร แต่การออกมาท้าทายว่ายิ่งไล่ยิ่งสู้นั้น “ ผมถามอีกครั้งว่า ที่คุณพูดหมายถึงใคร”

ดังนั้นด้วยสถานการณ์ขณะนี้ ตนอยากสื่อสารไปถึงพลเอกประยุทธ์ว่าพลเอกประยุทธ์ยังไม่รู้จักประชาชน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งบัดนี้ เรื่องวัคซีนไม่ต้องโทษใคร ต้องโทษพลเอกประยุทธ์คนเดียวเพราะ พลเอกประยุทธ์เป็นผู้มีอำนาจเต็ม รวบอำนาจไม่ยอมกระจายอำนาจ และท้ายที่สุดปัญหาก็กลับมาที่เดิม วัคซีนก็ถูกเลื่อนออกไป เช่นเดิม ดังนั้นตอนอยากบอกกับพลเอกประยุทธ์ว่า ท่านได้สู้แน่นอน ปัญหาว่าท่านจะสู้ไหวหรือเปล่า

“ วันที่ 24 มิถุนายน อย่างไรก็ตามนั้น รูปแบบของพวกผมจะมากันในลักษณะอย่างไรนั้น จะแถลงให้ทราบในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ แต่ยืนยันว่าอย่างไรก็ตาม วันที่ 24 มิถุนายน พวกเราจะมาที่ทำเนียบรัฐบาลอย่างแน่นอน มาขับไล่พลเอกประยุทธ์นี่แหละ และเชื่อว่า ถ้าระบอบประยุทธ์ไม่อยู่ประเทศไทยจะดีขึ้น พลเอกประยุทธ์ อวดดีกับวุฒิสภาได้ แต่อย่าอวดดีกับประชาชน”

ด้านนายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. อ่านแถลงการณ์ โดยระบุว่า วันนี้ต้องการบันทึกผลงานความล้มเหลวของรัฐบาล 17 ประการ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นปัญหาของชาติบ้านเมือง อาทิ ตั้งแต่หลังการรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พลเอกประยุทธ์ตระบัดสัตย์ต่อประชาชน โกหกหลอกลวงประชาชนเพื่อเข้ามารักษาความสงบ สร้างความสามัคคีปรองดอง แต่ 7 ปีที่ผ่านมากลับสร้างความขัดแย้ง เป็นคู่ความกับประชาชนโดยตรงเสียเอง

ขณะเดียวกันหลังการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ภายใต้รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์และพวก ที่กำหนดให้ส.ว. ในบทเฉพาะกาลเลือกนายกรัฐมนตรีได้ แต่ 2 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์สร้างระบอบประยุทธ์ขึ้นมา ควบคุมองค์กรอิสระในการตรวจสอบถ่วงดุลมาตลอด 2 ปีใช้อำนาจและจ่ายเงินตราค่าตอบแทนปิดบังอำพรางรวมถึงสร้างความวิบัติฉิบหายต่อระบบนิติรัฐนิติธรรมอย่างชัดเจน

นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ ล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นอย่างชัดเจน ไม่มีผลงานให้เห็นอย่างเป็นรูปประธรรม รวมถึงความไร้มาตรฐานขาดจริยธรรม ขาดคุณธรรมอย่างร้ายแรง หลายคนมีผลประโยชน์ทับซ้อน มีธุรกิจสีเทา แม้รัฐธรรมนูญจะเขียนไว้ในมาตรา 276 ให้มีการดำเนินการเรื่องจริยธรรมคุณธรรมแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ไม่สนใจในเรื่องนี้ และไม่สามารถเป็นแบบอย่างให้กับข้าราชการของแผ่นดิน

รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลกำลังหลอกลวงประชาชน ที่รับปากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญและแถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว แต่ที่ผ่านมา 2 ปี มีการปัดตกกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างโดยพรรคร่วมรัฐบาลรวมถึงการเสนอโดยประชาชน มิหนำซ้ำยังพยายามกีดกันการลงประชามติที่กำลังจะดำเนินต่อไปนั้นให้ล่าช้าออกไปอีก เพื่อใช้ระบบเผด็จการรัฐสภา เสนอแก้ไขเฉพาะรายมาตราที่ตนเองได้ประโยชน์เท่านั้น

ขณะเดียวกันรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็ใช้อำนาจในการคุกคามผู้เห็นต่าง ทางการเมืองอย่างกว้างขวาง มีการดำเนินคดีนักกิจกรรม มีการอุ้มหาย ในยุคสมัยของพลเอกประยุทธ์ไม่น้อยกว่า 6 คน และมีผู้ถูกผลักดันให้ลี้ภัยอย่างน้อย 104 ราย ภายใต้ประกาศ คำสั่งคสช. รวมถึงการใช้กฎหมายปิดปากประชาชนเป็นยุคสมัย เป็นเรื่องที่น่าเศร้าแม้แต่นายกรัฐมนตรียังฟ้องหมิ่นประมาทปิดปากประชาชน