เผยแพร่ |
---|
เมื่อวานนี้ (12 มิถุนายน 2564) รอยเตอร์สรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขชิลี ประกาศล็อกดาวน์กรุงซานดิเอโก เมืองหลวงของชิลีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังพบว่าอัตราการติดเชื้อโควิดกลับมาเพิ่มขึ้นทั้งที่ กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม
ทางการชิลี ยืนยันยอดติดเชื้อโควิด-19 ทั่วประเทศกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาถึง 17%และเพิ่มในพื้นที่เมืองใหญ่รวมถึงกรุงซานดิเอโกถึง 25%
โฮเซ หลุยส์ แอสปันโนซ่า ประธานสมาพันธ์สมาคมการพยาบาลแห่งชาติของชิลีกล่าวว่า จำนวนเตียงที่รองรับผู้ป่วยรุนแรงในเมืองหลงตอนนี้อยู่ที่ 98% อยู่ในภาวะระบบกำลังพังทลาย
สำหรับชิลี ถือเป็นประเทศที่ทำอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนสูงที่สุดในโลก โดยประชากรราว 75% ได้รับวัคซีนอย่่างน้อย 1 โดสแล้ว และเกือบ 58% ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว
ส่วนวัคซีนที่ชิลีใช้เป็นเกือบ 23 ล้านโดสให้กับประชากรพบว่า จำนวนส่วนใหญ่คือ วัคซีนซิโนแวคของจีน 17.2 ล้านโดส มีของไฟเซอร์/ไบออนเทคอยู่ 4.6 ล้านโดสและแอสตร้าเซเนก้ากับแคนซิโน รวมกันน้อยกว่า 1 ล้านโดส
กระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า มีประชาชน 7,716 คนที่ยืนยันว่าติดเชื้อโควิดในช่วงวันพุธและวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยมากถึง 73% ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วนและมีจำนวนถึง 74% มีอายุต่ำกว่า 49 ปี
ขณะที่ ดร.ซีซาร์ คอร์เตส แพทย์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยชิลี กล่าวว่า ประชาชนที่ต้องอยู่บ้านเมื่อปีที่แล้ว กำลังกลัวมากว่าพวกเขาจะไม่มีงานทำ
“เมื่อปีที่แล้ว มีการติดเชื้อต่ำและมาตรการกักกันมีผลมาก เพราะคนต่างกลัวตาย แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตอนนี้” ดร.คอร์เตสกล่าวและว่า หากปราศจากวัคซีน ชิลีคงเลวร้ายกว่านี้แน่ ทว่าสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ เรากำลังจะได้เห็นสิ่งที่เป็น “หายนะ”