โรม มองร่างแก้ รธน.ของ พปชร.ชัดแท้จริงเพื่อสืบทอดอำนาจประยุทธ์ต่อ ย้ำถึงเวลารื้อมรดก รปห.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รังสิมันต์ โรม  ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เฟซบุ๊ก[ร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับพลังประชารัฐ แท้จริงแล้วเพื่อสืบทอดอำนาจประยุทธ์ต่อ]

.
จากที่ผมเคยได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าการแก้รัฐธรรมนูญกำลังกลับมาอีกครั้ง โดยหัวหอกคือพรรคพลังประชารัฐ ที่มุ่งแก้รัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคของตัวเองเป็นสำคัญ
.
เมื่อลองดูเนื้อหาของร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับของพรรคพลังประชารัฐ สาระสำคัญที่สุดที่ถูกเปลี่ยนแปลงคือระบบเลือกตั้ง จากที่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ใช้บัตรใบเดียว เอาคะแนนเสียงที่ได้มาคิดหา “จำนวน ส.ส. พึงมี” คำนวณจำนวน ส.ส. ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ถ้าได้ ส.ส. แบ่งเขตมาแล้ว ยังเหลือส่วนต่าง ส.ส. พึงมีเท่าไร ก็เพิ่ม ส.ส. บัญชีรายชื่อไปเท่านั้น คราวนี้จะเปลี่ยนเป็นแยกบัตร 2 ใบ คะแนนใครคะแนนมัน ไม่เอาแล้วจำนวนพึงมี
.
มากไปกว่านั้น ยังเปลี่ยนอัตราส่วนระหว่าง ส.ส. แบ่งเขตกับบัญชีรายชื่อ จาก 350 ต่อ 150 เป็น 400 ต่อ 100 กล่าวคือเพิ่ม ส.ส. แบ่งเขต ลด ส.ส. บัญชีรายชื่อนั่นเอง
.
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเดิมที่ คสช. ต้องการออกแบบระบบการเลือกตั้งที่ทำให้ศัตรูหลักในขณะนั้นคือพรรคเพื่อไทยอ่อนแอ ด้วยความที่พรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งในหลายจังหวัด ทั้งยังสร้างความนิยมต่อตัวพรรคได้ผ่านการนำเสนอนโยบาย จึงทำให้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เข้าสภาเป็นจำนวนมากทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ คสช. จึงใช้ข้ออ้างเรื่องจำนวน ส.ส. พึงมีในการสร้างระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เพื่อหวังลดจำนวน ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย (โดยอ้างกันไปว่าเพื่อให้ทุกเสียงมีความหมาย ไม่มีคะแนนตกน้ำ จำนวน ส.ส. สะท้อนจำนวนประชาชนที่เลือกพรรคนั้นจริง) ซึ่งผลการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. แบบแบ่งเขต 136 คน เกินจำนวน ส.ส. พึงมี ทำให้ไม่มี ส.ส. บัญชีรายชื่อเข้าสภาเลยสักคน สมดังที่ คสช. ตั้งใจไว้
.
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมา ก็ได้เกิดสถานการณ์ที่ทำให้ฝ่าย คสช. ซึ่งปัจจุบันนำโดยพรรคพลังประชารัฐ มั่นใจมากขึ้นว่าพวกตนสามารถควบคุมการเลือกตั้งได้ ผ่านการดูดนักการเมืองผู้มีอิทธิพลในท้องที่ต่างๆ รวมถึงกลไกข้าราชกาส่วนภูมิภาค กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่อยู่ใต้ร่มของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาเกือบ 7 ปี ตัวอย่างรูปธรรมที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐเชื่อว่าการควบคุมของตัวเองได้ผล เช่น
– การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 พรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส. แบบแบ่งเขตเขตเข้าสภาถึง 97 คน มากเป็นอันดับสองรองจากพรรคเพื่อไทย
– ชัยชนะของพรรคในการเลือกตั้งซ่อมเกือบทุกครั้ง ที่สามารถรักษาเก้าอี้ในเขตเดิมของตัวเองได้ และยังได้ ส.ส. ในเขตใหม่เพิ่มมาอีก 3 คน
– ผลการเลือกตั้ง อบจ. ที่มีผู้สมัครที่มีส่วนเชื่อมโยงกับพรรคพลังประชารัฐชนะเลือกตั้งอย่างน้อย 23 จังหวัด นับว่ามากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ
.
ด้วยเหตุนี้ ฝ่าย คสช. จึงไม่ต้องการให้จำนวน ส.ส. พึงมี กลายมาเป็นอุปสรรคกับตัวเองแทน และเลือกที่จะกลับคำทุกอย่างที่ตัวเองอ้างมา ไม่สนอีกแล้วว่าคะแนนเสียงประชาชนจะหล่นหายหรือไม่ แถมยังเพิ่มจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเพื่อหวังขยายผลลัพธ์ของการใช้เครือข่ายอิทธิพลของตัวเองอีก
.
ยิ่งเมื่อประกอบกับการที่มาตรา 272 ที่ให้ ส.ว. ที่เลือกโดย คสช. มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ยังมีผลใช้อยู่ ยิ่งการันตีการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์และพวกต่อไปอีกเรื่อยๆ
.
ส่วนเนื้อหาอื่นๆ เช่น การยกเลิกบทลงโทษ ส.ส. และรัฐบาลที่พยายามโยกย้ายเงินงบประมาณในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณตามมาตรา 144 หรือยกเลิกเหตุแห่งการลงโทษ ส.ส. ที่ก้าวก่ายแทรกแซงหน้าที่ประจำของข้าราชการหรือมีส่วนในการใช้เงินงบประมาณหรือเห็นชอบโครงการของรัฐนอกกิจการสภา สิ่งเหล่านี้ก็เป็นการช่วยให้ ส.ส. โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล “หาเสียง” ได้ง่ายขึ้น
.
และนอกจากนี้ เหตุที่พรรคพลังประชารัฐพยายามรีบเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญของตัวเองเข้าสู่สภาให้ได้โดยเร็วที่สุดนั้น ก็ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเพื่อไม่ให้ร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่กำลังรณรงค์ล่ารายชื่อกันอยู่ในขณะนั้น สามารถเสนอเข้าสภาตามมาได้ทันจนสามารถยื่นประกบกับร่างแก้ของพลังประชารัฐได้ เนื่องจากเนื้อหาของร่างแก้ฉบับประชาชนนั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์เป็นการช่วย คสช. สืบทอดอำนาจ แต่จะ #รื้อระบอบประยุทธ์ ออกไปให้หมด
.
ดังนั้นขอให้พี่น้องประชาชนร่วมจับตามองและส่งเสียงคัดค้านความพยายามดังกล่าวของพรรคพลังประชารัฐและฝ่าย คสช. กันให้หนักแน่น และหากท่านใดต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้รัฐธรรมนูญโดยภาคประชาชน เพื่อเดินหน้าสภาเดี่ยว ปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ปลดโซ่ตรวนยุทธศาสตร์ชาติ และล้างมรดกรัฐประหาร สามารถร่วมเข้าชื่อ #ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ โดยกลุ่ม <Re-Solution ถึงเวลารัฐธรรมนูญใหม่> ได้ตามวิธีการในลิงก์ข้างล่างนี้