‘วิโรจน์’ ขู่หลัง 6 โมงเย็น ‘นายกฯ’ ไม่มาสภาฯ ก้าวไกลขอนับองค์ประชุมแน่

 

‘วิโรจน์’ ไม่ยอมให้ ‘ลุง’ กู้ไปผลาญ แล้วให้ลูกหลานตามใช้หนี้ เหมือนหมอฉีดยาสลบ ตื่นมาทาแค่ทิงเจอร์ ขู่นายกฯหลัง 6 โมงเย็น ไม่มาสภา ขอนับองค์ประชุมแน่

วันที่ 9 มิถุนายน 2564 เมื่อเวลา 16.15 น. นายวิโรจน์ อภิปรายว่า เมื่อสักครู่ที่ให้มีการนับองค์ประชุม สาเหตุเป็นเพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หากท่านให้เกียรติสภาฯ มาฟังการอภิปราย ก็คงไม่มีใครนับองค์ประชุม แต่เงินกู้สูงขนาด 5 แสนล้านบาท ทบจากเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่ท่านกู้มาแล้วและใช้ไปหมดแล้ว และท่านไม่มาสภาฯ ไม่มาพบกับตัวแทนของประชาชน

“เรียนตรงๆว่า มันหยามน้ำใจประชาชนเกินไป เมื่อสักครู่ มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งให้ผมทราบว่ามีการประสานให้ท่านนายกฯ มา ถ้าท่านตั้งใจจะมาจริงๆ ภายใน 18.00 น. หากท่านจะมาต้องมาได้ และถ้าไม่มา พรรคก้าวไกล จะขอนับองค์ประชุมเองหลัง 18.00 น.ไปแล้ว” นายวิโรจน์ กล่าว

ต่อมาเวลา 16.16 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก) อภิปรายว่า เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทก่อนหน้านี้ ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เยียวยา สาธารณสุข และฟื้นฟู เปรียบเหมือนกับประเทศเป็นคนที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง จากขาหัก สะโพกหัก เงินเยียวยาก็เหมือนยาสลบ เพื่อให้หมอผ่าตัดรักษา ซึ่งคืองบสาธารณสุข จากนั้นค่อยไปทำกายภาพบำบัดให้กลับมาเดินเหินได้เหมือนคนปกติ นั่นคืองบฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำคือ ฉีดยาชา วางยาสลบ แล้วพอตื่นขึ้นมาก็ตกใจที่หมอยังไม่ผ่าตัดอะไรให้ มองไปมีแต่ทิงเจอร์มาทา พอยาชาหมดฤทธิ์ก็กลับมาเจ็บปวดเหมือนเดิม การกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ก็หวังผลอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างที่ทำลงไปก็พังพาบไปทันทีเมื่อเกิดการระบาด โควิด-19 อีก

นายวิโรจน์ อภิปรายว่า ธุรกิจที่ได้รับการบอบช้ำที่สุดคือ ธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่สำคัญของประเทศ การที่รัฐบาลยังไม่ชัดเจนในการควบคุมการระบาด ได้ทำให้โรงแรมในภาคใต้ปิดตัวไปแล้วไปกว่า 90% ที่แย่กว่านี้คือไม่รู้จะแย่แบบนี้ไปอีกเมื่อไหร่ การระบาดของ โควิด-19 ทำคนในภาคธุรกิจท่องเที่ยวตกงานไปแล้วกว่า 1 ล้านคน และอาจจะไหลไปถึง 2 ล้านคน รายได้จากการท่องเที่ยวเมื่อปี 2563 มีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านบาท ตอนนี้เหลืออยู่เพียง 8 แสนล้านบาทเท่านั้น และมีแนวโน้มจะลดลง ส่วนโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟสหนึ่ง และฟสสองที่ผ่านมาก็ไม่ได้เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ และโรงแรมคนไทย แต่เป็นการนำเงินภาษีของประชาชน ไปดึงสภาพคล่องให้เอเจนซี่รับจองที่พักออนไลน์ ซึ่งเป็นเอเจนซี่ต่างชาติ เป็นการบีบให้ผู้ประกอบการคนไทยต้องไปแข่งขันกับต่างชาติ และต้องจ่ายค่าโฆษณาให้กับแอพพลิเคชั่นต่างชาติ

 

นายวิโรจน์ อธิปรายว่า การขอกู้เงินเพิ่ม 5 ล้านล้านบาท เหมือนเป็นการวางยาสลบอีกรอบหนึ่ง ซึ่งเป็นค่ารักษาที่ต้องจ่ายแน่ แต่ควรเปลี่ยนไปรักษาโรงพยาบาลอื่นที่ไม่ใช่ โรงพยาบาลจันทร์โอชา รัฐบาลนี้กู้มาถลุงแล้ว 1.1 ล้านบาท ทั้งยังขาดสติปัญญาในการจะจัดลำดับความสำคัญ ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน ล้มเหลวในการกระจายความเสี่ยง ในการจัดซื้อจัดหาวัคซีน ทั้งยังจัดฉีดวัคซีนล่าช้า กระจายวัคซีนเหลื่อมล้ำ แต่ยังมีหน้าไปโทษโรงพยาบาลว่าที่ต้องเลื่อนฉีดวัคซีน เพราะโรงพยาบาลฉีดเร็ว ตนก็สงสัยว่าถ้าโรงพยาบาลฉีดช้าแล้วสต๊อกวัคซีนจะงอกออกมาตามธรรมชาติหรืออย่างไร ทั้งนี้รัฐบาลต้องจัดส่งวัคซีนให้แต่ละแห่งเท่าไหร่ สามารถดูจากยอดจองผ่านหมอพร้อม แต่ความล้มเหลวในการบริหารระบบสาธารณสุข ทำให้ประชาชนต้องตายคาบ้าน เพราะหาเตียงรักษาไม่ได้ แถมยังใช้จ่ายเงินกู้ที่ประชาชนต้องแบกรับในอนาคต

“เงินกู้ 5 แสนล้านบาทมีความจำเป็น แต่จะปล่อยให้รัฐบาลนี้กู้ไปถลุงแบบนี้ต่อไปไม่ไหว จะปล่อยให้ลุงกู้ไปผลาญแล้วให้ลูกหลานตามใช้หนี้แบบนี้ไม่ได้ และนายกรัฐมนตรีที่จะกู้ต้องไม่ใช่คนที่ชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายวิโรจน์ กล่าว