“สงคราม”ชี้รัฐบาลช่วยธุรกิจต้องจริงใจ อย่าลอยแพรายย่อย หวั่นกู้ 5 แสนล้านไว้สร้างฐานเสียง

“สงคราม” ชี้ช่วยธุรกิจต้องจริงใจอย่าลอยแพรายย่อย หวั่น “ประยุทธ์” กู้5แสนล้านแจกพรรคการเมืองสร้างฐานเสียงในพื้นที่

วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ส่งผลกระทบกับคนไทยทุกคน ประกอบกับการที่รัฐบาลบริหารจัดการวัคซีน ล้มเหลว ไม่ให้ความสำคัญเรื่องวัคซีนมากที่ควร และจำกัดให้ประชาชนฉีดวัคซีนที่รับจัดหาให้ หลายรายพบว่าเกิดอาการไม่พึงประสงค์หนักบ้าง เบาบ้างต่างกันไป ที่หนักสุดคือเสียชีวิต รัฐควรเร่งสรางความเชื่อมั่นในวัคซีนมากกว่านี้ เพราะวัคซีนคือทางออกของประเทศ อย่างแท้จริง เพราะประชาชนต้องการวัคซีน ทุกวันนี้มีคนติดเชื้อ มากกว่า 1 แสนคน เสียชีวิตมากกว่า 30 คน ต่อวัน รัฐบาลใจดำมากที่มองคนที่เสียชีวิตเป็นเรื่องธรรมดา นิ่งเฉยต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้รัฐบาลกู้เงินมหาศาลเพื่อมาใช้จ่าย โดยที่ผ่านมารัฐบาลมาขอให้อนุญาตจากสภาเพื่อออกพระราชกำหนดเงินกู้ 1 ล้านล้าน ที่โดยอ้างว่าจะนำไปช่วยผู้ประกอบการธุรกิจ เอสเอ็มอี แต่เงินที่กู้มารัฐนำไปใช้ในการสร้างฐานการเมืองมากกว่า นำไปทำถนน หรือ ขุดลอกคูคลองในพื้นที่ของนักการเมืองพรรครัฐบาล หวังสร้างฐานการเมือง เป็นการใช้เงินซ้ำซ้อนกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งรัฐบาลไม่แสดงความจริงใจ ที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการ รัฐปล่อยลอยแพผู้ประกอบการรายย่อย

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 500,000 ล้านบาท แต่ว่าที่ผ่านมามันเต็มไปด้วยการปกปิดหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ถ้ารัฐบาลเคารพประชาชน ก็ต้องสื่อสาร และให้ข้อมูลมากกว่านี้ นอกจากนี้ยังไม่มีอะไรการันตีว่าเงิน 5 แสนล้านบาทที่จะกู้จะถูกนำไปใช้ถูกทิศถูกทาง เพราะคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินก็ยังใช้ชุดเดิม ไม่มีหน่วยงานหรือกลไกที่จะมาช่วยเร่งรัดการเบิกจ่ายที่เป็นปัญหาในพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท หากรัฐบาลไม่สามารถชี้แจงได้คงให้ผ่านไม่ได้

“การจะช่วยเหลือผู้ประกอบการ พลเอกประยุท์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องไม่ตั้งเงื่อนไขที่เป็นกำแพงหนาทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ และต้องไม่เลือกปฎิบัติช่วยเฉพาะผู้ประกอบการชั้นดี เพราะหากทำเช่นนั้นเงินกู้จำนวน 500,000 ล้านบาท จะล้มแหลวรอบ 2 เพราะไม่สามารถที่จะกู้ชีวิตผู้ประกอบการที่กำลังโคม่าได้ แต่รัฐบาลจะเป็นคนดึงสายอ็อกซิเจนของผู้ประกอบการอก สุดท้ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีก็ไม่สามารถรอดจากวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน” นายสงคราม กล่าว