ขอบคุณข้อมูลจาก | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เรียกมาว่าได้จังหวะที่กำลังเป็นประเด็นในสังคมไทยเวลานี้มาก สำหรับรถถังจีน 3 คันที่มาถึงไทยท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจาร์การอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่ถูกตั้งคำถามโดยเฉพาะสัดส่วนงบประมาณที่จัดวางในห้วงวิกฤตโควิดแต่งบประมาณด้านสาธารณสุขกลับลดลงมากกว่างบประมาณด้านกลาโหม
ล่าสุดวันนี้ (1 มิถุนายน 2564) พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่มีการกล่าวถึงการจัดส่งรถถังมายังประเทศไทย ในการพิจารณางบประมาณ 2565 ของรัฐบาล เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น
กองทัพเรือได้จัดหายานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ ZTD 05A หรือ VN 16 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโครงการซื้อยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก ระยะที่ 1 จำนวน 3 คัน วงเงิน 398,143,400 บาท ในปีงบประมาณ 2563 เพื่อทดแทนรถถังหลัก Type 69-II ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ทั้งนี้ยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก VN16 จะเข้าประจำการ ในกองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน
สำหรับ ยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก VN16 ออกแบบและผลิตโดย China North Industries Corporation (NORINCO) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมความมั่นคงของจีน โดย VN 16 เป็นรถถังเบาสะเทินน้ำสะเทินบก มีน้ำหนักประมาณ 26.5 ตัน ติดตั้งปืนใหญ่รถถังขนาด 105 มม. เกราะทำด้วยอลูมิเนียมอัลลอย มีความเร็วบนถนน 65 กม./ชม. ความเร็วในน้ำ 25 กม./ชม.
โฆษกกองทัพเรือ กล่าวยืนยันว่า การจัดหายานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ VN 16 นั้น เป็นการจัดหาในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งเป็นไปตามแผนการเสริมสร้างกำลังกองทัพเท่าที่มีความจำเป็น เพื่อดูแลความมั่นคงในส่วนที่กองทัพเรือรับผิดชอบ โดยดำเนินการในห้วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ กองทัพเรือ มุ่งมั่นในการเป็นกองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ เป็นที่พึ่งของประชาชนและบริหารจัดการด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งกระบวนการจัดหายุทโธปกรณ์เป็นไประเบียบราชการทุกประการ
ขณะที่ เฟซบุ๊ก CARE คิด เคลื่อน ไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ชวนร่วมลงชื่อผ่านเว็บไซต์ change.org เพื่อส่งเสียงให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในพ.ร.บ.งบประมาณ 2565 วงเงินกว่า 3,100,000 ล้านบาท ให้เหมาะสมกับสถานการณ์วิกฤต “ลดงบกลาโหม เปลี่ยนอาวุธสงคราม เป็นอาวุธป้องกันเชื้อโรค” โดยมีรายละเอียดดังนี้
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราจำเป็นต้องทุ่มงบประมาณเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด เพราะคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด คือ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน แต่กลับพบการจัดสรรงบประมาณในหลายด้านไม่เหมาะสมกับวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น
ตัดงบสาธารณสุขมากกว่างบกองทัพ: ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงิน 3,100,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้กำลังเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 31 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน สรุปภาพรวมของงบปี 2565 ลดลงจากปี 2564 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาด้วยพิษโควิด-19 ทำให้ทุกกระทรวงถูกตัดงบ แต่จะลดอะไรบ้างนั้น เป็นเรื่องที่รัฐต้องจัดลำดับความสำคัญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ กระทรวงกลาโหมกลับได้รับการจัดสรรงบกว่า 203,282 ล้านบาท มากกว่ากระทรวงสาธารณสุข (ที่ได้รับงบประมาณจำนวน 153,940.5 ล้านบาท) ถึง 49,341.5 ล้านบาท
ไม่ให้ความสำคัญกับการจัดการสถานการณ์โควิด-19: ความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไขในตอนนี้คือ การปกป้องชีวิตของประชาชนคนไทยจากโรคระบาด งบประมาณควรถูกจัดสรรให้กับกระทรวงที่ต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างกระทรวงสาธารณสุขไม่ใช่หรือ? แต่จากข้อมูลระบุงบของกรมควบคุมโรค และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ถูกปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2564 และน้อยกว่าปี 2562 ที่ยังไม่มีโควิด-19 ส่วนงบบัตรทอง ก็ถูกตัดลดลง 1,815 ล้านบาท จากปี 2564
ไม่ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูประเทศหลังโควิด-19: ถ้าพิจารณางบประมาณปี 2565 จำแนกตามแผนยุทธศาสตร์ พบว่ายุทธศาสตร์ความมั่นคงได้รับงบประมาณกว่า 387,909 ล้านบาท มากกว่ายุทธศาสตร์การสร้างความสามารถความแข่งขัน (หรืองบเร่งด่วนฟื้นฟูเศรษฐกิจ) ที่ได้รับงบประมาณเพียง 338,547 ล้านบาท ทั้งที่หากในปีหน้าสถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ยุคหลังโควิดควรจะเป็นการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ดีขึ้นมากกว่าการทุ่มงบประมาณไปกับกองทัพ
แถมเลือกตัดงบกระทรวงศึกษา: นอกจากนี้รัฐบาลได้ตัดงบประมาณกระทรวงศึกษาธิการลงถึง 24,051 ล้านบาท หรือ 6.75% ทั้งที่การศึกษาเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องพัฒนาเด็กและเยาวชนของชาติให้มีความรู้ความสามารถมากขึ้นเพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นในอนาคต
สรุปง่ายๆ คือ งบที่ควรเพิ่มกลับถูกลด งบที่ควรถูกลดกลับยังอยู่ – ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้จะไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาประเทศและแก้ไขสถานการณ์วิกฤตในขณะนี้ให้เหมาะสมได้เลย
กลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยร่วมติดตามการอภิปรายในสภา และขอเชิญทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดสรรงบประมาณที่ขาดการจัดลำดับความสำคัญร่วมลงชื่อในแคมเปญ “#ลดงบกลาโหม เปลี่ยนอาวุธสงคราม เป็นอาวุธป้องกันเชื้อโรค” เพื่อให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับสถานการณ์วิกฤต เพราะแท้จริงแล้ว ‘ความมั่นคง’ ของชาติไม่ใช่ความเกรียงไกรของกองทัพ แต่คือชีวิตและปากท้องของประชาชน