‘จตุพร’ ประกาศรุกทุกมิติ จ่อหนังสือถึงผบ. กองทัพอากาศ กองทัพเรือ ปลัดกลาโหม 31 พ.ค.

วันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช. กล่าวบนเวที #ไทยไม่ทนออนไลน์ คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ว่า การเดินทางของคณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทยนั้นเราเดินทางด้วยความอดทน และจะเริ่มรุกในทุกมิติ

“ การขับเคลื่อนภายนอกเพื่อจะไปปักหมุด ให้คนทั้งชาติได้แลเห็นว่า อะไรคือปัญหาของประเทศ แต่แน่นอนที่สุดขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาของการชุมนุม แต่เรา ต้องการอธิบายให้ สังคมและประเทศนี้ได้รับรู้กันว่า ปัญหาของชาติอยู่ ณ จุดใด” นายจตุพร กล่าว

พร้อมย้ำว่าในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ คณะใสไม่ทนจะเดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อยื่นหนังสือถึง ผบ. กองทัพอากาศ กองทัพเรือ และปลัดกลาโหม เพื่อเรียกร้องให้ถอนตัวด้วยการลาออกจากตำแหน่งวุฒิสภา

ส่วนวันที่ 1 มิถุนายนนั้น จะไปที่ศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อไปร้องขอให้ยุติบทบาทและลาออกจากตำแหน่งเหล่านี้ เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องการสืบทอดอำนาจ

“ ศาลรัฐธรรมนูญนั้นเต็มไปด้วยความไม่สบายใจของประชาชน หลากหลายเรื่องราวที่มีการวินิจฉัย ดังนั้นนี่คือปัญหาหนึ่งและไม่ใช่เพิ่งเป็นปัญหา แต่เป็นปัญหาของประเทศไทย มาเป็นระยะเวลายาวนาน ก็จะไปเรียกร้องให้มีการลาออก”

ขณะเดียวกันในส่วนของ คณะกรรมการกกต. ในการเลือกตั้งทุกระดับทั้งระดับชาติและท้องถิ่น แม้กระทั่งการสรรหาส.ว. ไม่ได้ดำเนินการ อย่างสุจริต เที่ยงธรรม และมีความโปร่งใส เพราะข้อเท็จจริงนั้น การเลือกตั้งทุกระดับ มีการซื้อเสียงกันอย่างมโหฬาร

“ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ว่าเลือกตั้งใหญ่เลือกตั้งซ่อม ปรากฏว่ากกต.ถูกใช้เป็นองค์กรการันตี ความสุจริตและเที่ยงธรรม ในการเลือกตั้ง การเลือกตั้งท้องถิ่นพื้นที่ยิ่งแคบ ค่าใช้จ่ายจะยิ่งสูง ซื้อหัวละเป็นพัน สองพัน สามพัน”

นายจตุพร กล่าวว่า คนในแต่ละพื้นที่เขารู้ว่ามีการซื้อเสียง องค์กรที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบดำเนินการการเลือกตั้ง ให้เกิดความโปร่งใสและสุจริตเที่ยงธรรมนั้น กลับเป็นองค์กรเดียวที่ตาบอดมองไม่เห็นปัญหาของการทุจริตการเลือกตั้ง

ดังนั้นเวลานี้นักการเมืองทั้งหลาย เขาก็ต้องรู้ว่าเงินเท่านั้น ที่จะได้มาซึ่งอำนาจ จึงต้องร่วมมือและจับมือกันประสานงานประโยชน์กับกลุ่มทุน รวมกระทั่งการทุจริตฉ้อฉล ซึ่งพลเอกประยุทธ์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีการทุจริตเพราะประกาศวาระแห่งชาติ 2 ครั้ง นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับว่าการทุจริตมีอยู่จริง

“ เรื่องวัคซีนนะครับ ถ้าไม่คิดเรื่องทำมาหากินกันมา ประเทศก็จะไม่อยู่ในสภาพอย่างนี้ แต่ทุนในซีกของรัฐบาลนั้น ในอดีตกลุ่มทุนจะไม่เข้าไปล้วงลูกทางการเมือง จะเอาเพียงแค่ผลประโยชน์ ไม่ว่าซีกใดชนะ ทุนใหญ่ๆก็จะสนับสนุน เอาเงินไปให้พรรคการเมือง ต่างๆ แปลความว่า เป็นการสนับสนุน ในการเลือกตั้ง เมื่อมีอำนาจตัวเองก็จะไปกอบโกยคืนมานี่คือกลุ่มทุนในอดีต”

แต่ทุนในปัจจุบันนี้ เป็นทุนที่สามารถบงการรัฐบาลได้ และเป็นทุนที่เข้ามาบริหาร กระบวนการของอำนาจทั้งปวง ทั้งซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน ถึงขั้นว่าเวลานี้เป็นอาชญากรทางเศรษฐกิจ และการบริหารจัดการทั้ง 2 ซีก ที่กำหนดได้ว่า คนเป็นรัฐมนตรีต้องเป็นใคร ใหญ่กว่ารัฐมนตรี สามารถระบุข้ามมาถึงฝ่ายค้านว่า กระทรวงนี้ห้ามอภิปราย

ขณะเดียวกันก็ได้ประโยชน์จากสัมปทานผูกขาด การเอื้อประโยชน์จากรัฐบาล ดังนั้นการบริหารการจัดการ ทั้ง 2 ซีกแบบนี้ ตนเชื่อว่านี่คือภัยของประเทศไทยโดยเฉพาะกลุ่มทุนสายพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มทุนใหม่และเวลานี้ใหญ่ที่สุด

“จากพลังงาน ข้ามไปเรื่องถนนหนทาง และมอเตอร์เวย์สายใหม่ 2 สาย ฟาดเรียบ และบรรดาแวดวงทางการเมืองก็รู้ว่า ใครจะอภิปรายเรื่องอะไร ถ้าคนนี้ไม่อนุญาต ไม่มีวันจะอภิปรายได้ ยกเว้นพรรคการเมือง ที่ไม่ไปรับเงินของไอ้นายคนนี้”

ดังนั้นบ้านเมืองเราจึงอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังและตนถามว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่รู้หรือ ที่นายคนนี้เพ่นพ่านอยู่ในรัฐบาล และหากรู้แล้วปล่อยให้ทุนสับปะรังเคแบบนี้ ที่เข้ามาบริหารจัดการผลประโยชน์ของชาติ ยังปล่อยให้เพ่นพ่านกันอยู่ได้อย่างไร

“ดังนั้นในสัปดาห์ถัดไปจะว่าเรื่องทุนโดยเฉพาะ ,โดยเฉพาะทุนสามานย์ ที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด เวลานี้มันซื้อหมดอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อ อยากจะหยุดอะไรก็หยุด และไม่มีใครทำอะไรมันได้ ถามว่าประเทศนี้จะเหลืออะไร”

นายจตุพรกล่าวอีกว่า ทุนกับอำนาจ ณ วันนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเพราะต่างฝ่ายต่างเอื้อประโยชน์กัน แต่คนที่เสียประโยชน์ก็คือคนไทย ทั้งเรื่องค่าไฟ หรือแม้แต่ราคาน้ำมัน การให้นายทุน เข้าไปบงการกระทรวงพลังงานนั้นตนเชื่อว่าประเทศนี้อยู่ยาก ดังนั้นได้เวลาที่ต้องไปรื้อและชำระสะสาง

“สัมปทานชั่วๆทั้งหลายที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนนั้นจะต้องถูกพังทลาย ผมไม่รู้ว่านายคนนี้จะใหญ่มาจากไหนอย่างไร แต่เพิ่งเห็นการก้าวกระโดดกันมาไม่นานนี้ และผมก็รู้ว่าเรื่องอะไรด้วย แต่วันนี้คุณเข้ามาแทรกแซงทุกกระบวนการของประเทศไทย และสัปดาห์หน้าโน้นผมจะไปถึงบริษัทคุณ เพื่อจะไปบอกว่าคุณต้องหยุดได้แล้ว”

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ภายใต้ระบอบประยุทธ์นั้นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร พลเอกประยุทธ์ต้องรู้ว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นหมายถึงใคร “ระบอบประยุทธ์ ถ้าเราต้องทลาย และรีเซ็ตประเทศไทยกันใหม่นั้นปัญหาของชาติมันอยู่ตรงไหน การสัมปทานผูกขาดเอารัดเอาเปรียบนั้น คือความเลวทรามต่ำช้า”

ตนเชื่อว่าพอกระชากหน้ากาก ก็จะถึงบางอ้อเลยว่า ประเทศนี้มีรัฐซ้อนรัฐ โดยทุนนี้ได้อย่างไร บ้านเมืองเราจะปล่อยปละละเลยกันแบบนี้ต่อไปไม่ได้