“ก้าวหน้า”ห่วงยอดคนจองฉีดวัคซีนน้อย ชี้ ปัญหาใหญ่คือวิกฤตศรัทธา คนไม่เชื่อมั่นรัฐบาล

“ก้าวหน้า”ห่วงยอดคนจองฉีดวัคซีนน้อย ชี้ ปัญหาใหญ่คือวิกฤตศรัทธา คนไม่ไว้ใจผู้นำรัฐบาล

วันที่ 11 พ.ค.2564 เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เขียนข้อความแสดงความเห็นประเด็นการบริหารจัดการวัคซีน โดยเฉพาะการลงทะเบียนฉีดวัคซีนกับแอพพ์หมอพร้อม โดย ระบุว่า

ตัวเลขผู้จองคิวรับวัคซีนแอสตราซิเนกาในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้ป่วย7 กลุ่มโรคเรื้อรัง มีเพียงแค่ 10% ของจำนวนวัคซีนที่จัดหาให้ทั้งหมด

ยอดตัวเลขนี้บอกอะไรกับเราบ้าง ประชาชนเข้าไม่ถึงข้อมูล จองคิวไม่ได้ เข้าแอพพ์หมอพร้อมไม่เป็น หรือมีอะไรมากกว่านั้น

“หมอพร้อม” เวอร์ชัน 2 มีฟังก์ชันการทำงานทั้งหมด 12 ฟังก์ชัน (รัฐบาลบอกว่าเป็นฟังก์ชั่นที่ใช้งานที่ง่าย) สำหรับการเปิดให้ลงทะเบียนและจองรับ วัน เวลา การฉีดวัคซีนโควิด19 ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2564 ที่ผ่านมา

และจะเริ่มฉีดเข็มสองตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ก.ค.สำหรับระยะที่ 2 ในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค

และในเดือน ส.ค.2564 จะเริ่มฉีดวัคซีนระยะที่ 3 ในกลุ่มประชาชนทั่วไปอายุ 18-59 ปี

ตัวเลขคนจองฉีดวัคซีนวันที่ 10 พค 64 อยู่ที่เพียง 1,574,954 คน จากทั้งหมด 16,000,000 โดส ถ้าตามแผนที่วางไว้นั่นหมายความว่าจะมีเวลาเหลือเพียง 20 วันในการฉีดที่เหลืออีก 14,425,046 โดสในระยะที่หนึ่ง โดยมีแผนระยะสองฉีดซ้ำให้  กลุ่มเดิมนี้ในเดือนมิถุนายนเป็นลำดับต่อไป (ถ้าดิฉันเข้าใจไม่ผิดว่า 16 ล้านโดสเตรียมสำหรับโดสแรกจนครบ หากผิดแย้งได้ค่ะ)

แน่นอนว่าทุกฝ่าย ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระดมสรรพกำลัง สรรพความคิดในการสร้างความตระหนักรู้ให้กลุ่มเป้าหมายเข้ารับการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ได้มากที่สุด ทั้งข้อแนะนำจากหลายคนที่เป็นการเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) เช่นใครที่ฉีดแล้วมีอาการข้างเคียงรัฐควรจะจ่ายเงินค่าประกันให้ก้อนหนึ่ง เร่งให้ความรู้ความเข้าใจในการฉีด การนำเสนอข้อมูลด้านบวกของวัคซีนยี่ห้อนี้ เป็นต้น

หรือข้อเสนอที่เป็นการเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) เช่น ถ้าใครไม่ยอมฉีดจะถูกตัดสิทธิการรักษา ถูกตัดสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง (ความเห็นกล้าๆแบบนี้ ก็โดนทัวร์ลงไปแล้วเรียบร้อย)

เอาละเราจะยังไม่พูดถึงการมีตัวเลือกยี่ห้อวัคซีนน้อยเกินไป เพราะนี่ไม่ใช่การตัดสินใจเลือกที่มีเสรีภาพ แต่คือการบังคับเลือกกึ่งยัดเยียด

ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้คือ “วิกฤติศรัทธาต่อผู้นำประเทศ” ต่างหาก

การสร้างความศรัทธาคือการมีพฤติกรรมที่คงเส้นคงวาสม่ำเสมอ (Consistency) ในระยะเวลาหนึ่ง จนเกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจกัน

แต่นี่มันกลับตรงกันข้าม คือมีพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจแบบคงเส้นคงวา จนเกิดเป็นวิกฤติศรัทธาในวันนี้

ปรากฎการณ์ขณะนี้คงเปรียบได้กับแม่น้ำทุกสายไหลมารวมกันในจังหวะพอดี

แม่น้ำแห่งการโกหกคำโต ยึดอำนาจแล้วจะรีบคืนความสุข แม่น้ำแห่งการคอรัปชั่นประเทศครั้งมโหฬาร โดยมีองค์กรอิสระที่ตั้งมาเองคอยค้ำยันทุกช่องทาง แม่น้ำแห่งการบิดเบี้ยวกระบวนการยุติธรรม ทำผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ดำเนินคดีฝั่งตรงข้ามและคนเห็นต่าง แม่น้ำแห่งความหืนกระหายอำนาจผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงประชาชน และสุดท้ายแม่น้ำแห่งโควิด-19 ที่ไหลมาปิดท้ายตอกย้ำความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพ เปิดให้เห็นธาตุแท้ของการตักตวงผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของชีวิตประชาชน

อยากให้รัฐบาลกลับไปถามตัวเองก่อนว่าทำอะไรลงไปบ้าง ก่อนจะมาถามประชาชนว่าเพราะเหตุใดถึงไม่รับการฉีดวัคซีนฟรีจากรัฐบาล คุณทำให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุขต้องทำงานยากขึ้นอีกหลายเท่า คุณรู้สึกตัวบ้างไหม

ช่วยลดอีโก้ลงบ้าง ลดความอยากได้ใคร่มีไม่จบไม่สิ้นลงบ้าง ขอให้จริงใจกับประชาชนสักครั้ง เพราะนี่อาจเป็นสัญญาน อารยะขัดขืนอย่างหนึ่งของประชาชนเท่าที่จะสามารถสะท้อนกลับไปยังรัฐให้รู้ว่า

“พวกเราไม่ไว้วางใจคุณ ให้ทำหน้าที่บริหารประเทศอีกต่อไปแล้ว”