ฟุ้ง! มาตรการรอบใหม่ดันเงินสะพัด 4 แสนล้าน อุ้มเศรษฐกิจโตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1% ยันฐานะการคลังปึ๊ก!

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า เบื้องต้นประเมินว่ามาตรการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ วงเงินรวมกว่า 2.4 แสนล้านบาท ที่ผ่านความเห็นชอบในหลักการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) หากดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปี 2564 มากกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยสนับสนุนให้ตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 1%

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะมีการปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีอีกครั้งในเดือนก.ค. 2564 จากปัจจุบันคาดการณ์จีดีพีอยู่ที่ 2.3% โดยหากรวมกับปัจจัยเสริมในเรื่องมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดจากโควิด-19 ระลอกใหม่ ก็มีโอกาสที่ตัวเลขจีดีพีปี 2564 จะขยับเพิ่มขึ้นใกล้ระดับ 2.8% ได้

“มาตรการเยียวยาที่ออกมาครั้งนี้มีส่วนช่วยจีดีพีได้มากกว่า 1% เมื่อเทียบกับหากไม่มีการดำเนินโครงการเหล่านี้เลย แต่คงจะเอาไปบวกกับคาดการณ์ปัจจุบันที่ 2.3% เลยไม่ได้ เพราะคาดการณ์ดังกล่าวมีการพิจารณาบางโครงการรวมไปแล้ว แต่ยอมรับว่ามีโอกาสสูงที่จีดีพีจะขยับใกล้ระดับ 2.8% ซึ่งเป็นกรอบที่กระทรวงการคลังได้วางไว้ แต่ทั้งหมดยังต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานปัจจุบันด้วย เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ค่าเงินบาท และปัจจัยอื่นๆ” น.ส.กุลยา กล่าว

น.ส.กุลยา กล่าวอีกว่า วงเงินที่ใช้ในการดำเนินมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ยังมาจาก พ.ร.ก. กู้เงินฉุกเฉิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งยังมีเพียงพอ พร้อมทั้งยืนยันว่าสถานการณ์ด้านการคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ 53% ต่อจีดีพี ถือว่ายังมีช่องว่างในการกู้เงินเพิ่มเติมได้ แต่ไม่อยากให้มองว่าแม้จะมีช่องว่างรัฐบาลก็จะดำเนินการกู้เงินทั้งหมด เพราะทุกอย่างต้องประเมินตามสถานการณ์และความจำเป็น

“ความยั่งยืนทางการคลัง ในเรื่องเงินคงคลัง ฐานะการคลัง หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง รวมทั้งบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ ก็ยังคงเครดิตเรตติ้งประเทศไทยไว้ และมีมุมมองที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการจัดอันดับ ก็มาจากเรื่องความยั่งยืนทางการคลังและสถาบันการเงินที่เข็มแข็ง ทำให้มั่นใจได้ว่าสถานการณ์ด้านการคลังยังแข็งแกร่ง” น.ส.กุลยา กล่าว

สำหรับมาตรการใหม่สำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ และมีรายได้ค่อนข้างสูง คือ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งรัฐจะสนับสนุน e-Voucher ค่าซื้อสินค้า ค่าอาหาร เครื่องดื่ม และบริการกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ไม่เกิน 5 พันบาทต่อคนต่อวัน สะสมสูงสุดไม่เกิน 7 พันบาทต่อคน โดยการใช้จ่ายจะได้รับ e-Voucher ตั้งแต่เดือนก.ค.-ก.ย. 2564 และใช้จ่าย e-Voucher ได้ในเดือนส.ค.-ธ.ค. 2564 ซึ่งการใช้จ่ายจะดำเนินการผ่าน G-Wallet ในแอพพลิเคชันเป๋าตัง โดยมาตรการนี้ครอบคลุม 4 ล้านคน เบื้องต้นมีการประเมินว่าหากประชาชนมีการใช้จ่ายเต็มที่ 6 หมื่นบาทต่อคน เพื่อรับ e-Voucher คืนที่ 7 พันบาทต่อคน จะช่วยทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท