ปิยบุตร ขอเวลา5 นาที ให้ ปชช.ลงชื่อเปลี่ยนกฎหมาย ปรับโครงสร้างที่มาตุลาการศาลรธน.ใหม่

‘ปิยบุตร’ ชวนลงชื่อ เปลี่ยนกฎหมาย ปรับโครงสร้างที่มาตุลาการศาลรธน.ใหม่
เมื่อวันที่ 5 พ.ค. นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เขียนข้อความทางเฟซบุ๊กแสดงความเห็นกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่ง ไม่ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี จากการถูกจำคุกต่างประเทศ คดีค้ายาเสพติด ช่วงหนึ่งระบุว่า

“ประชาชนคนไทยตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีธรรมนัส พรหมเผ่า “มันคือแป้ง” เมื่อเวลาบ่ายสามที่ผ่านมา หลายคนบอกว่า ไม่ได้คาดหวังว่าธรรมนัสจะหลุดจากตำแหน่ง หลายคนบอกว่า พวกนี้ห้อยพระดีชื่อ “พระรอด” อย่างไรก็ไม่โดน หลายคนบอกว่า แม้ไม่ได้คาดหวัง แต่ก็อยากจะฟังดู เผื่อมีปาฏิหาริย์ หลายคนบอกว่า อยากฟังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะให้เหตุผลออกช่องไหน

ประเทศไทย “นำเข้า” ศาลรัฐธรรมนูญมาจากประเทศเยอรมนี ตอนทำรัฐธรรมนูญ 2540 ผ่านมากว่าสองทศวรรษ จนวันนี้ โมเดลศาลรัฐธรรมนูญไทยก็ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย ไม่สามารถเป็นสถาบันหลักของประเทศในการรักษาประชาธิปไตย รักษารัฐธรรมนูญได้

ตรงกันข้าม ทุกฝักฝ่ายต่างหยิบฉวยนำองค์กรและกระบวนการนี้มาใช้เป็น “เครื่องมือ” เพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองของตน เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองของตน

ตราบใดที่โครงสร้าง ที่มา และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญยังคงเป็นแบบนี้ เราก็จะมีโอกาสเจอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ส่งผลกระทบทางการเมืองอีกมาก เราอาจได้เห็นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ชวนตั้งคำถามสงสัย และเราก็ยังคงไม่เชื่อมั่นในระบบศาลรัฐธรรมนูญ

Re-Solution ถึงเวลารัฐธรรมนูญใหม่ เสนอโครงสร้างและที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่ ดังนี้

การแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดเสนอมาที่ละ 3 รายชื่อ มายังรัฐสภาเพื่อเลือกให้เหลือ 3 คน, ส.ส. ฝ่ายค้าน เสนอ 6 รายชื่อ ให้รัฐสภาเลือกให้เหลือ 3 คน, และ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล เสนอ 6 รายชื่อ ให้รัฐสภาเลือกให้เหลือ 3 คน รวมทั้งหมดเป็นองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน

โดยผู้ที่จะได้รับเลือกให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับเสียงถึง 2 ใน 3 ของสภา สิ่งนี้จะป้องกันไม่ให้ฝ่ายบริหารผูกขาดครอบครองศาลรัฐธรรมนูญได้ และไม่สามารถถูกยึดได้โดยฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล

เมื่อถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระก็จะได้เลิกคิดเรื่องการอยู่ฝักฝ่ายใด เพราะมาจากทั้งสามฝ่าย คือ ฝ่ายศาล ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลเท่าๆ กัน ก็จะเกิดการถ่วงดุลกันเองภายในองค์กรทุกครั้ง

นอกจากนี้เราเสนอให้เพิ่มกลไกตรวจสอบถ่วงดุล โดย ส.ส. 1 ใน 4 สามารถเข้าชื่อร่วมกัน หรือให้ประชาชน 20,000 คนเข้าชื่อ ให้มีการพิจารณาถอดถอนผู้พิพากษาและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ ส่งให้สภาลงมติโดยใช้เสียง 3 ใน 5 เพื่อเสนอให้องค์คณะพิจารณาถอดถอน 7 คน ประกอบไปด้วยตัวแทนจากศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลปกครอง ส.ส. ฝ่ายค้าน ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ร่วมพิจารณาถอดถอนโดยใช้เสียง 3 ใน 4

นอกจากนี้ สภาผู้แทนราษฎรจะมีผู้ตรวจการศาลและศาลรัฐธรรมนูญ มาจาก ส.ส. ฝ่ายค้านและ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลอย่างละ 5 คน ตรวจสอบการใช้งบประมาณของศาล วิเคราะห์ผลกระทบจากคำพิพากษาต่างๆ โดยให้ผู้ตรวจการศาลและศาลรัฐธรรมนูญคัดเลือกกันเองให้ 1 คนไปเป็นกรรมการตุลาการ (กต.) ศาลยุติธรรม และ 1 คนไปเป็นกรรมการตุลาการศาลปกครองโดยตำแหน่ง เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล

พี่น้องประชาชนเสียเวลา 15 นาที ไปกับการฟังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย

ขอช่วยกันสละเวลาอีกไม่ถึง 5 นาที เข้าชื่อเสนอแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงที่มาและองค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ

เพื่อต่อไป เราจะได้มีศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นกลาง เป็นอิสระ ไม่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่พิทักษ์ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง