สุดารัตน์ ชง 3 ข้อรับโควิด อัด ประยุทธ์ รวบอำนาจต้องรับผิดและรับชอบ เอาฝ่ายมั่นคง มาสู้รบเชื้อโรค

“สุดารัตน์” เสนอ 3 ข้อสู้โควิด ชี้ “บิ๊กตู่” รวบอำนาจบริหาร ‘ต้องรับทั้งผิดและชอบด้วย’
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย ได้ทำบุญวันเกิดครบ 60 ปี พร้อมครอบครัว นอกจากนี้ คุณสุดารัตน์และแกนนำพรรคไทยสร้างไทยได้มอบตะกร้าสำหรับมอบให้บ้านที่มีผู้ติดเชื้อ ประกอบด้วย ข้าวสารอาหารแห้งพร้อมยาสามัญประจำบ้าน 2,000 ชุด พร้อมด้วยหน้ากากอนามัย 200,000 ชิ้น, น้ำยาฆ่าเชื้อ จำนวน 200 แกลอน, เจลล้างมือ และถุงขยะสีแดงเพื่อใส่ขยะติดเชื้อ ให้ทีมกทม.ไทยสร้างไทยแต่ละเขต นำไปช่วยดูแล และป้องกันโควิดให้ประชาชนในกรุงเทพฯ

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวถึงปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ขณะนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นเรื่อยๆ ว่า สิ่งที่ควรทำเร่งด่วนในตอนนี้มีอยู่ 3 เรื่อง ที่ตนขอเสนอ คือ 1.ให้มีการแก้ไขระเบียบ ยกเลิกข้อกำหนดที่บอกว่าตรวจเจอที่โรงพยาบาลใด โรงพยาบาลนั้นต้องรับรักษา เนื่องจากพิสูจน์แล้วว่ามันทำให้เกิดปัญหาตามมา และควรยกเลิกระเบียบที่กำหนดให้บุคคลจะเข้ารับการรักษาได้ต้องตรวจเจอเชื้อโควิด-19 ก่อน เพราะนี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ เนื่องจากกว่าคนจะรอคิวเข้าตรวจเชื้อต้องรอหลายวัน เข้ารับการตรวจแล้วต้องกลับไปรอผลที่บ้านอีกกว่าจะรู้ผล รู้ผลก็ต้องรอเตียงว่างอีก จึงจะได้รับการรักษา จึงทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อในชุมชน เป็นจำนวนมาก และทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนัก และเสียชีวิตสูงมากขึ้ นอกจากนี้ ควรมีการกระจายงบประมาณให้โรงพยาบาลบริหารจัดการตัวเองด้วย

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ข้อเสนอที่ 2 ควรเปิดศูนย์กลางคัดกรองผู้ป่วยทุกเขตในกรุงเทพฯทุกเขตทั้ง 50 เขต และทุกตำบลในต่างจังหวัด ใครก็ตามที่รู้สึกเจ็บป่วย แม้ยังไม่ทราบผลตรวจให้มาที่ศูนย์เพื่อคัดกรองเข้าสู่ระบบ ไม่ใช่ตรวจแล้วกลับไปรอที่บ้าน และการกลับไปรอที่บ้าน มันทำให้เกิดการแพร่กระจายในชุมชน ซึ่งขณะนี้เป็นแบบนี้ในหลายชุมชน

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวต่อว่า ข้อเสนอที่ 3 รัฐบาลควรเร่งเรื่องของการตรวจเชื้อโควิดให้ได้มากที่สุด ควรมีการตรวจเชิงรุกมากกว่านี้ เพราะปัจจุบันมีการตรวจเชิงรุกในแต่ละวันแค่หลักสิบซึ่งตนขอเสนอให้ตั้งงบประมาณ 1,600 ล้านบาท เพื่อปูพรมตรวจ 1 ล้านคน ในทุกพื้นที่ เพราะสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตั้งงบค่าตรวจให้ 1,600 บาทต่อหัว จากนั้นให้ตรวจได้เลยทุกโรงพยาบาล ตรวจเสร็จก็นำเข้าระบบทันที แบบนี้ก็จะหมดปัญหา เรื่องของการรอเตียงและรอตรวจ

“คนตรวจมากจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจจะดูสูงขึ้น เพราะเราตรวจเชิงรุก ทำให้พาคนติดเชื้อเข้าสู่ระบบได้มาก ประชาชนก็จะปลอดภัยเพราะคนติดเชื้อเข้ามาอยู่ในระบบ ไม่ปะปนอยู่ในชุมชน” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควบรวมอำนาจการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ไว้แต่เพียงผู้เดียว ว่า การบริหารจัดการของรัฐบาลเป็นปัญหาตั้งแต่ต้นแล้ว ตั้งแต่การระบาดในรอบแรก คือมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ในส่วนกลาง มีการตั้งศูนย์เกิดขึ้นมากมาย ไม่กระจายงบและอำนาจไปสู่โรงพยาบาลซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติ ทั้งที่การบริหารในช่วงวิกฤต ต้องทำให้การสั่งการสั้นที่สุด กระชับที่สุด แต่นี่ก็ไปตั้งศูนย์ต่างๆ ขึ้นมาเยอะแยะไปหมด สิ่งที่แปลกใจมากกว่านั้นคือ เอาฝ่ายความมั่นคงมาสู้รบกับเชื้อโรค ซึ่งในความจริงควรจะให้หมอเข้ามาดำเนินการ แล้วเมื่อมีการตั้งศูนย์ขึ้นมาหมายในรัฐราชการไทยก็ทำให้เกิดความเห็นที่ไม่ตรงกัน เกิดความสับสนในข้อมูลอย่างที่ผ่านมา

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีรวบอำนาจมาไว้คนเดียว ก็ต้องรับทั้งผิดและชอบด้วย คือเมื่อรวบอำนาจมาแล้ว ต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ส่วนตัวคิดว่าควรจะมีการปรับการบริหารจัดการ เพราะที่ผ่านมารวมศูนย์อำนาจมาปีกว่า แต่บริหารจัดการไม่ได้ ก็เลยควบคุมการระบาดไม่เบ็ดเสร็จแบบนี้

“ปัญหามันอยู่ที่ผู้นำ วันนี้ประชาชนต้องการคนที่สร้างความเชื่อมั่น สร้างความมั่นใจ ผู้นำที่ดีต้องมีแผนงานและเลือกคนที่เหมาะสมกับงาน แบ่งหน้าที่อย่าให้ซ้ำซ้อน วิธีการสั่งการต้องสั้นที่สุด กำหนดระยะเวลาการดำเนินการให้สั้นที่สุด“ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว