ขอบคุณข้อมูลจาก | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อ 29 เม.ย. เอพี รายงานการแถลงแผนงานของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรกต่อที่ประชุมร่วมของรัฐสภา วาระที่ทำงานมาครบ 100 วัน ว่า ประชาธิปไตยของอเมริกากำลังรุ่งโรจน์อีกครั้ง
นายไบเดนชี้ว่า การฟื้นตัวของสหรัฐพ้นจากสถานการณ์โควิดที่แสนสาหัส เป็นจังหวะเวลาสำหรับอเมริกา ที่จะพิสูจน์ได้ว่า ประชาธิปไตยยังคงขับเคลื่อนและรักษาความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในโลกได้
“ผมบอกกล่าวกับประเทศนี้ได้ว่า อเมริกาขับเคลื่อนอีกครั้ง พลิกผันความเสี่ยงภัยสู่ความเป็นไปได้ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส และพลิกการถดถอยสู่ความแข็งแกร่งได้” นายไบเดนกล่าว
ประธานาธิบดีไบเดนยังนำเสนอแผนงานเศรษฐกิจที่จะขายความปลอดภัยทางสังคมที่ไม่ได้ทำอย่างจริงจังมาหลายสิบปีแล้ว ในที่นี้รวมถึงการลงทุนด้านเด็ก ครอบครัว และการศึกษา มูลค่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 55 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้แข่งขันในโลกได้
การกล่าวถ้อยแถลงครั้งนี้ นายไบเดนยังกล่าวยกย่องสองสตรีที่นั่งอยู่ด้านหลังของตน คือนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐ และนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนฯ ว่า Madam Speaker (ท่านประธานสภาหญิง) และ “Madam Vice President” (ท่านรองประธานาธิบดีหญิง) “ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนใดเคยใช้คำนี้ที่โพเดียมนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว”
พิธีการกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาครั้งนี้ แตกต่างไปจากประธานาธิบดีคนก่อนๆ ตรงที่ผู้อยู่ในห้องประชุมต่างสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะนั่งเก้าอี้ ส่วนด้านนอกอาคาร ล้อมไปด้วยแผงเหล็กกั้นเหมือนเมื่อตอนที่ม็อบฝ่ายขวาคลั่งบุกสภา เพราะไม่ยอมรับชัยชนะของนายไบเดน
“อเมริกาพร้อมจะทะยานแล้ว เราเดินเครื่องอีกครั้ง ฝันอีกครั้ง ค้นพบอีกครั้ง นำโลกอีกครั้ง เราต่างแสดงให้พวกเราและโลกเห็นว่า จะไม่มีการยอมแพ้ในอเมริกา” นายไบเดนกล่าว
ผลงานที่ชัดเจนในช่วง 3 เดือนแรกของการบริหารงาน ได้แก่การกระจายวัคซีนที่มีประชาชนฉีดไปแล้ว 200 ล้านโดส การออกกฎหมายงบประมาณเยียวยาผลกระทบโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยไม่ต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรครีพับลิกัน ฝ่ายค้าน
การจ่ายเงินเยียวยาให้บุคคลแบบเข้าตรงบัญชีโดยทันที 1,400 ดอลลาร์ต่อคน โดยโอนจ่ายไปแล้ว 160 ล้านครัวเรือน ส่วนเงินช่วยเหลือทั้งระดับประเทศและระดับมลรัฐอีกหลายพันล้านจะขยับตามมา เป็นปริมาณเพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ถึง 6% ระดับที่ไม่เคยพบเคยเจอมาตั้งแต่ปี 1984 (พ.ศ.2527) และน่าจะพอที่จะดึงคนกลับเข้าทำงานที่หายไป 8.4 ล้านตำแหน่งในปีหน้า