‘วิโรจน์’ ปัน 4 เรื่องรัฐบาลต้องรับฟัง เสียงสะท้อนจากหมอหน้างานรับมือโควิด

วันที่ 27 เมษายน 2564 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกลและส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ได้ออกมาปันเรื่องราวผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ จากการรวมหารือกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่แนวหน้าในการรับมือโควิด-19 ว่า เมื่อคืนนี้ (26 เม.ย. 64) ผมได้ประชุมหารือกับคุณหมอที่มีปฏิบัติงานอยู่หน้างาน เพื่อสรุปปัญหา และความกังวลต่อชีวิตของประชาชน ในมุมมองของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้างานอย่างเต็มกำลัง เต็มความสามารถ
.
ทุกเรื่องที่ได้หารือ ล้วนเป็นสิ่งที่รัฐบาล ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข ควรเร่งนำไปพิจารณา และปรับปรุงอย่างเร่งด่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุข และลดอัตราการป่วยหนัก และเสียชีวิตของประชาชนลง ซึ่งผมได้จัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงบวก เสนอต่อรัฐบาลโดยเปิดผนึก ดังนี้
.

ประเด็นที่ 1: ปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยข้ามสังกัด

ถ้าพิจารณาเรื่องปัญหาการหาเตียงให้กับผู้ป่วยที่เป็นปัญหาอยู่ ณ ขณะนี้ จะพบว่า “กรุงเทพมหานคร” จะเป็นพื้นที่ที่มีปัญหามากที่สุด จนประชาชนรู้สึกเดือดดาลต่อรัฐบาล ทั้งๆ ที่ กทม. ดูเหมือนจะเป็นพื้นทีที่มีบุคลากรทางการแพทย์ต่อประชากร เครื่องมือแพทย์ โรงเรียนแพทย์ ซึ่งมีศักยภาพด้านระบบสาธารณสุขสูงกว่าต่างจังหวัดมาก
.
ปัญหาการจัดการเตียงที่เกิดขึ้นที่ กทม. เป็นเพราะ โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม. มีอยู่หลากหลายสังกัด
ทั้งของ กทม. เอง (เช่น รพ.กลาง รพ.ตากสิน รพ.วชิรพยาบาล ฯลฯ) ของกรมการแพทย์ (รพ.ราชวิถี รพ.เลิดสิน ฯลฯ) ของมหาวิทยาลัย (รพ.จุฬาฯ รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี ฯลฯ) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รพ. ตำรวจ) กรมแพทย์ทหารบก (รพ.พระมงกุฎ) กรมแพทย์ทหารเรือ (รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า) กรมแพทย์ทหารอากาศ (รพ.ภูมิพล) ฯลฯ และในแต่ละเขตทั้ง 50 เขต ของ กทม. ก็ไม่มี รพ. ในทุกๆ เขต
.
ปัจจุบัน รพ.แต่ละแห่งใน กทม. ต้องรับมือกับการระบาดของโรค โดยเน้นการจัดการภายในสังกัดของตัวเองเป็นหลัก ทั้งการจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วย การส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีสมรรถนะในการรักษามากกว่า
.
อย่างบริการรถพยาบาลกู้ชีพฉุกเฉิน ก็ยังต้องจัดการกันเองภายในสังกัดของตัวเอง อย่าง ศูนย์เอราวัณ ของ สำนักการแพทย์ กทม. ก็จะเน้นส่งผู้ป่วยให้กับ รพ. ในสังกัดของ กทม. เป็นหลัก หรือศูนย์นเรนทร ของกรมการแพทย์ ก็จะเน้นส่งผู้ป่วยให้กับ รพ. ในสังกัดของกรมการแพทย์ หากเตียงของ รพ. ในสังกัดเต็ม ก็จะเน้นการหาเตียงใน รพ. อื่นในสังกัดเป็นหลัก การหาเตียงให้กับผู้ป่วยใน รพ. อื่นข้ามสังกัด ทำได้ยากมากๆ ไม่มีระบบในการประสานงานเพื่อให้เกิดการจัดการอย่างบูรณาการ
.
การส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการหนักขึ้น ก็จะเน้นส่งต่อไปยัง รพ. ในสังกัดเท่านั้น ต่อให้คุณหมอรู้ทั้งรู้ว่า รพ. อีกแห่งหนึ่งมีสมรรถนะในการรักษาที่สูงกว่า และพอที่จะรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักได้ แต่การส่งต่อก็เป็นเรื่องที่ยากทั้ง รพ. ที่จะส่ง และ รพ. ที่จะรับ หากว่าอยู่กันคนละสังกัด
.
ขนาด รพ. ในสังกัดกรมการแพทย์ หากเกิดปัญหาเตียงเต็ม จะส่งผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ไปยัง รพ.ประจำจังหวัดที่อยู่ติดกับ กทม. ก็ยังยาก ทั้งๆ ที่สังกัดภายใต้กระทรวงสาธารณสุขเหมือนกัน เพราะ รพ.ประจำจังหวัด นั้นไม่ได้สังกัดกรมการแพทย์ แต่สังกัดสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข
.
ต้องยอมรับว่า การบริหารการจัดสรรเตียงใน รพ. ในต่างจังหวัดวันนี้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคในด้านความพร้อม แต่มีระบบในการจัดการที่ดีกว่า กทม. มาก โดยแต่ละจังหวัดจะใช้วิธีบริหารโดยสาธารณสุขจังหวัด โดยมีผู้ตรวจการประจำเขตสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมประมาณ 4-5 จังหวัด ทำหน้าที่จัดหาเตียงให้กับผู้ป่วย โดยกระจายผู้ป่วยไปยัง รพ.อำเภอ และ รพ.ประจำจังหวัด ในเขตสุขภาพอย่างบูรณาการ ถึงแม้จะมีปัญหาบ้าง แต่ก็ไม่มีความอลหม่าน จัดการอย่างลำดับความสำคัญผิด และให้ รพ. แต่ละแห่งจัดการกันเองอย่างเดียวดาย อย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่ กทม.
.
ข้อเสนอแนะ:
1) ควรจะให้มี “ศูนย์กลางในการประสานงานจัดหาเตียง และส่งต่อผู้ป่วย” ที่ รพ. ทุกสังกัดใน กทม. บูรณาการร่วมกัน มี Call Center กลางเพียงเบอร์เดียว ที่ทำหน้าที่ประสานงานได้ทุกสังกัด เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน และพะว้าพะวงกับการโทรไปหลายๆ เบอร์ โดยให้กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีความรู้ความสามารถในการควบคุมการระบาดของโรค เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการตัดสินใจ โดยลดบทบาทของ ศบค. ลง
.
2) ควรจัดหา และดัดแปลงพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ ที่มีที่จอดรถจำนวนมาก เช่น ศูนย์จัดการแสดงสินค้า หรือ รัฐสภา เพื่อจัดตั้งเป็น “โรงพยาบาลแรกรับ” ที่มีขีดความสามารถในการตรวจวินิจฉัย และดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งต่อผู้ติดเชื้อไปยัง รพ. ที่มีสมรรถนะเหมาะสมกับอาการของผู้ติดเชื้อแต่ละคน ถ้า รพ. ไหน เตียงเต็ม ก็ให้ส่งผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลแรกรับก่อน แล้วค่อยส่งต่อในภายหลัง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ป่วยไปรอคอยเตียงอย่างสิ้นหวังที่บ้าน โดยที่ทำได้แค่บอกให้ผู้ติดเชื้ออย่าหมดหวังในการโทร ในขณะที่อาการของผู้ป่วยทรุดลงทุกวัน
.
3) เร่งจัดหาเครื่องช่วยหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรเร่งจัดหาเครื่อง High Flow Oxygen Cannular (HFNC) เพิ่มเติม จากที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้กรุณาพระราชทานให้กับ รพ. ต่างๆ ไว้แล้วในเบื้องต้น เครื่อง High Flow Oxygen Cannular (HFNC) ได้รับการยอมรับจากแพทย์ผู้ปฏิบัติงานว่า มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตประชาชน โดยสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เคยให้คำแนะนำเอาไว้ว่า การใช้เครื่อง High Flow Oxygen Cannular (HFNC) สามารถช่วยรักษาและประคับประคอง อาการหายใจเหนื่อยจากโควิด-19 ลงปอดได้ โดย หาก ICU ยังเต็มอยู่ ไม่สามารถใส่ท่อช่วยหายใจได้ อาจจะใช้เครื่อง High Flow Oxygen Cannular (HFNC) ในการรักษาไปก่อน ซึ่งสามารถลดอัตราการเสียชีวิต และอัตราการเข้านอนไอซียูลงได้ ส่งผลให้ผู้ป่วย ICU น้อยลง และที่สำคัญสามารถใช้งานนอกห้อง Isolation room ได้ เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการฟุ้งกระจาย (High Risk Aerosol Generating Procedure)
.

ประเด็นที่ 2: ผลตรวจช้า เบิกยาไม่ได้ พอรู้ผล อาการก็ลุกลามแล้ว

ปัจจุบัน อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจลดต่ำลง สะท้อนว่าจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการหนักมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่บุคลกรทางการแพทย์กำลังรับภาระอย่าง Overload
.
สาเหตุหนึ่งมาจาก ปัจจุบันการส่งตรวจ RT-PCR มีจำนวนเพิ่มขึ้น กว่าจะทราบผลว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ในบางกรณี ต้องรอถึง 2 วัน ระหว่างที่รอผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ แม้ว่าแพทย์จะมีดุลยพินิจจากอาการ ที่เชื่อได้ว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อโควิด-19 แต่ก็ไม่สามารถจ่ายยา Favipiravir ได้ กว่าจะทราบผลตรวจ ก็พบว่า อาการของผู้ติดเชื้อแย่ลง ทำให้การรักษายากขึ้น ผู้ป่วยบางรายพบเชื้อลามไปที่ปอด จนมีโอกาสเสียชีวิตสูง
.
ข้อเสนอแนะ:
1) ควรที่จะปรับปรุงกระบวนการให้ออกผลตรวจจากห้องปฏิบัติการให้เร็วขึ้น หรืออาจเปิดทางเลือกให้ตรวจหาเชื้อในรูปแบบอื่น ที่ออกผลตรวจได้เร็วขึ้น เช่น Rapid Antigen Test ในระหว่างที่การตรวจแบบ RT-PCR ยังคงล่าช้าอยู่
.
2) ควรพิจารณาอนุญาตให้แพทย์ สั่งจ่ายยา Favipiravir ได้ เมื่อวินิจฉัยจากอาการ หรือผลตรวจแบบ Rapid Antigen Test แล้วเชื่อว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อโควิด-19
.
3) กระทรวงสาธารณสุข ควรจะสำรองยาทางเลือกอื่นนอกจาก Favipiravir เพื่อให้แพทย์ได้เลือกใช้ในการรักษาให้กับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับประชาชน อาทิ Remdesivir (เป็นยาฉีดที่ขึ้นทะเบียน อย. แล้วแต่ขาดแคลนสต๊อก) Monoclonal (ยาที่มีการวิจัยยืนยันว่า สามารถลดการแบ่งตัวของไวรัสได้ และป้องกันภาวะไวรัสลงปอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ) Bamlanivimab ของ Eli Lilly (ขึ้นทะเบียนกับ FDA ที่อเมริกาแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นทะเบียน อย. ที่ประเทศไทย) นอกจากกระทรวงสาธารณสุขควรจะกระจายความเสี่ยงในการรจัดหารวัคซีนแล้ว ยังควรต้องกระจายความเสี่ยงในการจัดหายารักษาด้วย
.

ประเด็นที่ 3: ถ้าละเลยชุมชนแออัดใน กทม. การระบาดจะแพร่กระจายต่อเนื่องเกินควบคุม

ต้องยอมรับว่าในพื้นที่ กทม. มีชุมชนแออัด อยู่เป็นจำนวนมาก และ ณ ขณะนี้ การระบาดของโรคโควิด-19 ได้ระบาดเข้าไปในพื้นที่ชุมชนแออัดหลายแห่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็เข้าใจดีอยู่แล้ว่า การอยู่อาศัยของประชาชนในชุมชนแออัด หนึ่งหลังคาเรือมีผู้อยู่อาศัยร่วมกันหลายคน นอนติดกันโดยไม่มีฉากกั้น ใช้ห้องน้ำร่วมกัน ซึ่งมีความเสี่ยงขั้นสุดต่อการแพร่ระบาด
.
และอีกปัญหาหนึ่ง ที่จะละเลยไม่ได้ก็คือ ปัญหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นแรงงานต่างชาติ ซึ่งมักจะอยู่อาศัยรวมกันอย่างแออัด ที่วันนี้ถูกละเลย และหากยังคงปล่อยปละละเลยต่อไป ไม่เข้าไปดูแลรักษา และกักกันโรค ก็มีโอกาสสูงมาก ที่จะนำมาซึ่งการแพร่ระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
.
ข้อเสนอแนะ:
1) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) การเคหแห่งชาติ และ กทม. ควรร่วมกันจัดหาพื้นที่ให้กับประชาชนในชุมชนแออัด ที่พบการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ออกมาจากในชุมชน เพื่อกักตัวรักษา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
.
2) กทม. ควรต้องเร่งจัดสรรพื้นที่ในการกักตัวรักษาให้กับแรงงานต่างชาติ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
.

ประเด็นที่ 4: ถ้าไม่แก้กฎหมาย ไม่ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ฉีดวัคซีน อาจฉีดวัคซีนไม่ได้ตามเป้า

ด้วยข้อจำกัดของกฎหมายในปัจจุบัน ได้กำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ 3 ประเภทเท่านั้น ที่จะสามรรถปักเข็มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้ ซึ่งได้แก่ แพทย์ พยาบาล (ภายใต้การกำกับของแพทย์) และนักเทคนิคการแพทย์ ซึ่งต้องยอมรับว่า ณ ปัจจุบัน ทั้งแพทย์ พยาบาล และนักเทคนิคการแพทย์ ต้องรับภาระอย่างหนักมาก ในการตรวจวินิจฉัย และรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้น ถ้าหากไม่แก้ไขกฎหมายข้อนี้ เมื่อวัคซีนมาแล้ว รัฐบาลจะมีบุคลากรที่เพียงพอต่อการฉีดวัคซีนให้เป็นไปตามเป้าหมาย 10 ล้านโดสต่อเดือน ได้อย่างไร และต่อให้มีการแก้ไขกฎหมายเมื่อวัคซีนมาถึง แล้วจะฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่อื่นมีทักษะในการฉีดวัคซีนทันได้อย่างไร
.
ข้อเสนอแนะ:
1) ควรแก้ไขกฎหมาย โดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ หรือบุคลากรประเภทอื่นที่ได้รับการฝึกอบรม ให้สามารถทำหน้าที่ฉีดวัคซีนได้
.
2) ควรเร่งจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ฉีดวัคซีน เพื่อเตรียมความพร้อม ระหว่างที่รอการส่งมอบวัคซีน เพื่อให้เมื่อวัคซีนมาถึง จะได้มีบุคลากรที่มีความพร้อมในการฉีดวัคซีนได้ทันที
.
3) รัฐบาลควรวางระบบในการจองคิวฉีดวัคซีน โดยให้ประชาชนจองคิวเข้าฉีดวัคซีนที่ทั้งระบุวัน และช่วงเวลา มีการทำ Online Checklist มาก่อนล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ประชาชนผู้ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ ต้องมาที่สถานที่ฉีดวัคซีนแบบเสียเที่ยว เมื่อมาถึงมีระบบในการจัดแถวคอยที่มีประสิทธิภาพ พยายามวางจุดบริการที่ให้ประชาชนบริการตนเองให้มากที่สุด เช่น การลงทะเบียนผ่านบัตรประชาชน การรับบัตรคิว การชั่งน้ำหนัก การวัดความดันโลหิต เพื่อลดภาระของบุคลกรทางการแพทย์ลง เป็นการทำให้กระบวนการฉีดวัคซีนเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ต้องเร่งเตรียมการไว้ตั้งแต่วันนี้ได้แล้ว จะรอให้วัคซีนมาก่อนแล้วค่อยเตรียมไม่ได้
.
4) ปัจจุบันคาดว่ามีประชาชนจำนวนไม่ต่ำกว่า 140,000 คน ที่ได้รับการฉีดวัคซีน Sinovac ครบ 2 โดสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กระทรวงสาธารณสุขควรสรุปให้ประชาชนทราบว่า จากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ทั้งหมด ประเมินได้ว่า มีผู้ที่มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับวัคซีนครบ คิดเป็นร้อยละเท่าใด เพื่อเป็นการประเมินประสิทธิภาพของวัคซีน Sinovac จากการฉีดจริง
.
ข้อเสนอแนะทั้ง 4 ประเด็นนี้ เป็นเสียงสะท้อนจากคุณหมอหน้างาน ที่มีความหมายมากๆ ผมพยายามที่จะเขียนสรุปด้วยข้อความเชิงบวก พยายามหลีกเลี่ยงการติติงโดยไม่จำเป็น เว้นแต่เป็นประเด็นที่จำเป็นต้องสะท้อนความรู้สึกให้รัฐบาลได้รับทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน และความกังวลของบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าจริงๆ
.
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลจะเล็งเห็นถึงความปรารถนาดีของผม และเปิดใจรับฟังเสียงสะท้อนของคุณหมอด่านหน้า ที่ผมได้อาสาสรุปเป็นข้อเสนอแนะเพื่อนำเสนอรัฐบาล โดยเปิดผนึกให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมรับทราบด้วย

[เสียงสะท้อนจากหมอหน้างาน 4 ประเด็น ที่รัฐบาลควรรับฟัง]
โดย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
– – – – – – – – – – – – – – – – -…

โพสต์โดย Wiroj Lakkhanaadisorn – วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เมื่อ วันอังคารที่ 27 เมษายน 2021