ทีดีอาร์ไอแนะรัฐทบทวนแผนเปิดประเทศหลังโควิดระบาดหนัก คนติดเชื้อขยายวงกว้างไปทั่วโลก

ทีดีอาร์ไอแนะรัฐทบทวนแผนเปิดประเทศหลังโควิดระบาดหนัก คนติดเชื้อขยายวงกว้างไปทั่วโลก แต่ไม่ใช่ปิดต่อไป ชี้ต้นทุนสูง รับภาระเยียวยาไม่ไหว

นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีอีอาร์ไอ) โพสต์เฟซบุ๊ก Somchai Jitsuchon ว่า การเกิดการระบาดของโควิด-19 ในคลัสเตอร์ใหม่ ในกลุ่มคนไทย ทำให้เกิดความน่ากังวลใน 2 ประการ โดยประการแรก คือ การกลายพันธุ์ของเชื้อโคโรนาไวรัส ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วตามระดับการระบาดและจำนวนผู้ติดเชื้อที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก เชื้อกลายพันธุ์บางชนิดมีอัตราการระบาดสูงมากเช่น สายพันธุ์อังกฤษ ส่วนบางสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์อัฟริกาใต้ ก็ดื้อวัคซีน

อีกประการคือแนวนโยบายการเปิดประเทศที่ระยะหลังมีการพูดมากขึ้นถึงกำหนดการเปิดรับนักท่องเที่ยวโดยลดจำนวนการกักตัวลง หรืออาจไม่กักตัวเลยในบางพื้นที่ (ภูเก็ต สมุย) ซึ่งแม้จะมีเงื่อนไขเรื่องการฉีดวัคซีนและจำกัดประเทศต้นทางที่อาจเป็นแหล่งกลายพันธุ์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าผลต่อการระบาดในประเทศไทยหลังมีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วจะเป็นอย่างไรแน่ ดังนั้นรัฐบาลควรทบทวนแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยว หวังว่ารัฐบาลจะสามารถหาสมดุลระหว่างการเปิดรับนักท่องเที่ยวและการควบคุมการระบาดอย่างเหมาะสมในอนาคต 3-6 เดือนข้างหน้าได้

ทั้งนี้ ระยะเวลาปีเศษ หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มมีการตกผลึกทางความคิด ว่าควรบริหารจัดการอย่างไร โดยเฉพาะการเลือก ระดับ จังหวะเวลา และ พื้นที่ ในการควบคุมการระบาด ที่เห็นได้ชัดในกรณีของประเทศไทยคือการควบคุมการระบาดระลอกใหม่ ที่ไม่ใช้แนวทางปิดเมือง lock down ทั้งประเทศ กิจการหลายประเภทไม่ถูกปิดอีก เช่น ห้างสรรพสินค้าหรือกระทั่งสถานบันเทิง แต่ใช้วิธีเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการแทน

ทั้งหมดมิได้หมายความว่าเราควรปิดประเทศต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ในประเทศไทยหรือในประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยว เพราะต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงและรัฐบาลไทยก็คงรับภาระการเยียวยาไปเรื่อยๆ ไม่ไหว แต่คิดว่าต้องมีการปรับแนวนโยบายและมีมาตรการเสริมเพิ่มขึ้น

ดังนั้น ทีดีอาร์ไอ เสนอแนวทางดังต่อไปนี้คือ ประการแรก ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้คนไทยช่วยกันป้องกันการระบาดมากกว่าที่เคยทำมา เรื่องเดิมๆ ที่เคยทำมาเช่นใส่หน้ากาก (ที่ควรจะเปลี่ยนบ่อยๆ ในกรณีหน้ากากอนามัย หรือต้องหมั่นซักให้สะอาดในกรณีหน้ากากผ้า) ล้างมืออย่างถูกวิธี (เข้าใจว่าหลายคนในระยะหลังแม้จะล้างมือแต่อาจทำแบบลวกๆ) เว้นระยะห่างอย่างแท้จริง ใช้ช้อนกลาง (หรือช้อนกูที่เคยพูดถึงกันมากเมื่อปีที่แล้ว) ไม่ไปในสถานที่ปิดที่มีความเสี่ยงสูง โดยอาจใช้การระบาดในช่วงระหว่างและหลังสงกรานต์เป็นตัวตัดสินว่าคนไทยระวังตัวเพียงพอหรือยัง ซึ่งการระวังตัวเพิ่มขึ้นเช่นนี้ต้องเคร่งครัดมากเป็นพิเศษในพื้นที่ที่จะรับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัวเลย เรื่องนี้อาจดูเป็นข้อเสนอที่น่าเบื่อแต่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพมากในการควบคุมการระบาด

ประการที่สอง รัฐบาลควรยกระดับศักยภาพและวางแผนเรื่องการตรวจเชื้อ การติดตามเคส และการกักตัวผู้ป่วย (testing, tracing and isolation) โดยควรมีการวางแผนระดับพื้นที่เสี่ยง และมีการประสานงานเพื่อเคลื่อนย้ายทรัพยากรอย่างรวดเร็วต่อการตอบสนองต่อการระบาด มาตรการนี้ก็ดูน่าเบื่อแต่มีประสิทธิภาพมากเช่นกัน

ประการที่สาม รัฐบาลต้องแน่ใจว่าระบบสาธารณสุขมีการขยายศักยภาพในการรองรับผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้

ประการที่สี่ ควรเร่งกระบวนการพัฒนาวัคซีนในประเทศที่สามารถใช้กับเชื้อโคโรนาไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ ไม่ควรเดินตามแนวทางเดิมที่พัฒนาวัคซีนสำหรับเชื้อรุ่นแรก ซึ่งแม้จะทำสำเร็จก็มีประโยชน์ต่อประเทศน้อยมาก

ประการที่ห้า รัฐบาลต้องเร่งการฉีดวัคซีนให้เร็วกว่าในระยะ 1-2 เดือนที่ผ่านมาให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับวัคซีนจำนวนมากจากแหล่งต่างๆ แล้ว

ประการที่หก ควรมีแนวทางชัดเจนในการประเมินผลของการผ่อนคลายจำนวนวันกักตัวและการตรวจหาเชื้อในระหว่างการกักตัวว่าก่อให้เกิดความเสี่ยงของการระบาดใหญ่อย่างไร โดยอาจใช้เว้นวรรคการผ่อนคลายการกักตัวเป็นระยะ เพื่อให้สามารถใช้ช่วงเวลาที่เว้นวรรคนั้นทำการประเมินผลได้ก่อนที่การระบาดจะขยายวงกว้างจนไม่สามารถควบคุมได้และทำให้ต้องปิดประเทศขนานใหญ่อย่างที่หลายประเทศในยุโรปทำอยู่ในช่วงนี้ (รวมถึงประเทศที่ฉีดวัคซีนจำนวนมากแล้วด้วย)